PSTC ร่วงติดฟลอร์ ‘ซีอีโอ’ โยนหุ้นให้ขาใหญ่
หุ้น “เพาเวอร์ โซลูชั่น” ร่วงติดฟลอร์ หลัง “2ผู้บริหาร” แจ้งขายหุ้นล๊อตใหญ่ ด้าน “ซีอีโอ” บริษัท เผยขายให้กับนักลงทุนรายใหญ่ที่สนใจถือลงทุนระยะยาว ระบุยังอยู่ระหว่างเจรจาขายเพิ่มให้อีกหนึ่งราย
ราคาหุ้น บมจ.เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี(PSTC) วานนี้(2มี.ค.) ปรับลดลงอย่างหนัก หลังผู้บริหารระดับสูง 2 ราย แจ้งรายการขายหุ้นออกมาจำนวนมาก ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน พากันเทขายหุ้นตาม ทำให้ระหว่างวันราคาหุ้น PSTC ร่วงลงจนติดเพดานการซื้อขายขอบล่าง(ฟลอร์) 30% ก่อนที่ราคาหุ้นจะรีบาวด์เล็กน้อยมาปิดตลาดที่ 0.36 บาท ลดลง 0.14 บาท คิดเป็นการลดลง 28% มูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 590 ล้านบาท
สำหรับผู้บริหารที่ รายงานการขายหุ้นออกมา ได้แก่ นายภาณุ ศีติสาร ประธานกรรมการ ขายหุ้นจำนวน 100 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 0.52 บาท และ นายพระนาย กังวาลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ขายหุ้นออกมาจำนวน 30.21 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 0.52 บาท โดยเป็นการขายเมื่อวันที่ 26 - 28 ก.พ. ที่ผ่านมา
นายพระนาย กล่าวว่า ได้ขายหุ้นให้กับ นักลงทุนรายใหญ่ 1 ราย ที่ติดต่อเข้ามาซื้อหุ้นของบริษัท เพราะมองว่าหุ้นของบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยต้องการจะถือลงทุนระยะยาว ประกอบกับส่วนตัวต้องการใช้เงิน จึงยอมขายหุ้นออกมา ส่วนการขายหุ้นของนายภาณุ นั้น โดยส่วนตัวไม่ทราบว่าเป็นการขายให้กับนักลงทุนกลุ่มไหน
สำหรับช่วงนี้มีนักกลงทุนรายใหญ่หลายรายติดต่อเข้ามาขอซื้อหุ้นของบริษัทจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาก แต่การเข้าไปซื้อเองในกระดานลำบาก ซึ่งล่าสุด โดยส่วนตัวอยู่ระหว่างเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่อีก 1 ราย ที่ต้องการเข้ามาซื้อหุ้น
‘นักลงทุนรายใหญ่ที่เข้ามาซื้อหุ้นจากตนเองนั้นเป็นนักลงทุนรายใหญ่ ที่เป็นบิ๊กเนม และต้องการถือหุ้นของบริษัทระยะยาว เพราะบริษัทมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง และนอกจากการเข้ามาถือหุ้นแล้วนักลงทุนรายใหญ่ยังกล่าวสามารถต่อยอดให้บริษัทมีการเติบโตเพิ่มขึ้น ในการหางานเข้ามาให้บริษัท โดยส่วนตัวยังคงทำงานที่บริษัทต่อไป ไม่ได้ออกไปไหน ’นายพระนายกล่าว
ส่วนราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวลดลงแรงวานนี้ (2 มี.ค.)ร่วงติดฟลอร์นั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากตนเองจะถูกบังคับขาย (ฟอร์ซเซล) เพราะก่อนหน้านี้ ตนเองและนายภาณุได้กู้เงิน (มาร์จินโลน)เพื่อมาซื้อหุ้นเมื่อตอนราคาหุ้นอยู่ที่ 0.70 บาท จึงตัดสินใจทำบิ๊กล็อตนอกกระดาน จำนวน173.048ล้านหุ้น ที่ราคา 0.35 บาท มูลค่ารวม 60.56 ล้านบาทให้กับนักลงทุนรายใหญ่ 1 ราย ซึ่งตกลงกันว่าจะถือหุ้นระยะยาวไม่มีการขายออกมา โดยหลังจากบิ๊กล็อตครั้งนี้ตนเองยังคงเหลือถือหุ้นจำนวน 200 ล้านหุ้น และขอยืนยันว่าบริษัทไม่ได้มีปัญหา ยังคงมีการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง
สำหรับปี2563ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 20% จากปี 2562 อยู่ที่ 6,596 ล้านบาท เพราะรับรู้รายได้ธุรกิจโรงไฟฟ้าที่จะมีการจ่ายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าชีวภาพ4.6เมกะวัตต์ และโซลารูฟ ท็อปที่คาดจะจ่ายไฟในไตรมาส 3ปี 2563อีก 20 เมกะวัตต์ปีนี้