ผันผวน เน้นรายตัว
คาดดัชนีจะมีสลับรีบาวด์ในช่วงอ่อนตัวจากแรงหนุนมาตราการต่างๆทั้งในและต่างประเทศที่ประกาศออกมาในช่วงนี้เพือพยุงเศรษฐกิจซึ่งเป็นบวกต่อดัชนี
ตลาดหุ้นวานนี้
SET Index ร่วงลงแรง 82.83 จุด (-7.34%) ปิดที่ระดับ 1,046 จุด มูลค่าการซื้อขาย 68,179 ล้านบาท ดัชนีปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ กังวลเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวมากกว่าคาดหลังเฟดประกาศลดดอกเบี้ยฉุกเฉินอีก 1% พร้อมกับนำโครงการ QE กลับมาใช้มูลค่า 7 แสนล้านเหรียญฯ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 อีก 5,425 ล้านบาท, และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 9,122 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 แต่พลิกเป็น Net Long TFEX 18,438 สัญญา
แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้
เรามีมุมมองเป็นกลาง-ลบคาด SET อ่อนตัวทดสอบ 1,020 – 1,030 จุดก่อนจะสลับรีบาวด์ เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากผลกระทบไวรัส Covid19 ที่ระบาดไปทั่ว โดยทั่วโลกมีตัวเลขผู้ติดเชื้อราว 1.7 แสนราย เสียชีวิต 6.5 พันราย ซึ่งแม้ว่า Fed จะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน 1% สู่ระดับ 0% และใช้ QE วงเงิน 7 แสนล้านเหรียญฯเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว แต่นักลงทุนยังคงอยู่ในภาวะ Risk off และขายลดความเสี่ยงในตลาดหุ้นต่อเนื่องซึ่งเป็นลบต่อทิศทางการลงทุนในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าดัชนีจะมีสลับรีบาวด์ในช่วงอ่อนตัวจากแรงหนุนมาตราการต่างๆทั้งในและต่างประเทศที่ประกาศออกมาในช่วงนี้เพือพยุงเศรษฐกิจซึ่งเป็นบวกต่อดัชนี
กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy
- กลุ่ม Defensive และปันผลสูง ADVANC, INTUCH, TTW
- กลุ่มค้าปลีก (CPALL, HMPRO, BJC) กำลังซื้อเพิ่มหลังรัฐคืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้าวงเงินรวม 30,000 ล้านบาท
- กลุ่มไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, KTC) ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง
หุ้นแนะนำวันนี้
- CPALL (ปิด 60 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 88 บาท) ได้ Sentiment บวกจากข่าวบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืน 180 ล้านหุ้นมูลค่า 1.3 หมื่นล้านบาท เริ่ม 1 เม.ย.-30 ก.ย.2020 นอกจากนี้เราคาดว่า CPALL จะได้ประโยชน์มากสุดจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ (คืนค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า 21 ล้านครัวเรือนมูลค่า 30,000 ล้านบาท) เนื่องจากมีสาขากระจายครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ
- TQM (ปิด 54 ซื้อเก็งกำไร/เป้า IAA Consensus 63 บาท) รับอานิสงส์ประชาชนตื่นตัวหาช่องทางลดผลกระทบหากติดเชื้อไวรัส Covid-19 ด้วยการหาซื้อประกันจากบริษัทที่ออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องส่งผลบวกโดยตรงต่อ TQM ซึ่งทำหน้าที่เสมือนโบรกเกอร์ในการจัดหากรมธรรม์ต่างๆให้เหมาะสมกับที่ลูกค้าต้องการ
บทวิเคราะห์วันนี้
-
ประเด็นสำคัญวันนี้
- (-) ดาวโจนส์ร่วงเกือบ 3,000 จุด หลัง ทรัมป์ ออกมาระบุเศรษฐกิจสหรัฐเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย: ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐยังผันผวนหนัก โดยวานนี้ต้องใช้ Circuit Breaker เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 2 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนยังสับสนและไม่มั่นใจว่ามาตรการลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงการนำเอาโครงการ QE กลับมาใช้ใหม่จะรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ได้หรือไม่ นอกจากนี้นักลงทุนยิ่งกังวลมากขึ้น หลังจากที่ โดนัล ทรัมป์ ออกมาแสดงความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2,997 จุด (-12.93%) ปิดที่ระดับ 20,189 จุด นับเป็นวันที่ดัชนีลงแรงที่สุด (วันเดียว) ในรอบ 33 ปี
- (-) น้ำมันดิบ WTI หลุดระดับ 30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ใกล้แต่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ที่ระดับ 26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล: น้ำมันดิบเป็นอีกหนึ่ง Assets class ที่ราคาร่วงลงอย่างหนัก โดยวานนี้ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงอีก 3 ดอลลาร์ (-9.6%) ปิดที่ระดับ 28.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อยู่ห่างจากระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปีที่ระดับ 26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยตลาดมีปัจจัยลบเช่นเดียวกับตลาดหุ้นวอลสตรีท คือนักลงทุนกังวลว่ามาตรการสะกัดการระบาดของไวรัส Covid-19 ที่ประเทศต่างๆประกาศใช้ อาทิ ปิดประเทศ (Lockdown) ห้ามเดินทางเข้าออก, ยกเลิกเที่ยวบิน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆจนทำให้ความต้องการน้ำมันดิบลดลง
- (+/-) ภาครัฐออกมาตรการสะกัดการแพร่ระบาดชองไวรัส Covid-19 แต่ยังขาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ: วานนี้รัฐบาลประกาศแผนสำหรับการรับมือและสะกัดการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 เบื้องต้นไทยยังไม่เข้าสู่การระบาด Level 3 แต่เตรียมมาตรการรับมือเพื่อลดความรุนแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยสั่งปิดสถานศึกษา ปิดสนามกีฬาที่มีคนจำนวนมาก อาทิ สนามมวย ขอความร่วมมือ ร้านอาหารและสถานบันเทิงต่างๆ, เลื่อนการประชุมผู้ถือหุ้นหรืออนุญาติให้ประชุมผ่าน Teleconference และงดวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ในช่วงวันที่ 13-15 เม.ย.ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นมาตรการควบคุมและสะกัดการระบาดของไวรัส Covid-19 ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่มี ดังนั้นวันนี้เราคาดหวังว่าที่จะประชุม ครม.จะอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมออกมาเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวไปมากกว่านี้