สุดท้ายเราจะเห็นคำว่าโลก 'ยุคก่อนโควิด' และ 'ยุคหลังโควิด'
จากวิกฤติครั้งนี้ก่อให้เกิดผลกระทบมหาศาล ในอนาคตเราจึงอาจจะได้ยินคำว่า โลกยุคก่อนโควิด (Pre-COVID) และโลกหลังยุคโควิด (Post-COVID)
ผมยอมรับสารภาพตรงๆ ครับว่าตอนเกิดสถานการณ์ไวรัสโควิดใหม่ๆ ในช่วงที่เริ่มแพร่ระบาดที่ประเทศจีน ผมคิดเพียงแค่ว่ามันก็คงคล้ายๆ กับตอนเกิดวิกฤติ “โรคซาร์ส” ที่เคยระบาดร้ายแรงเมื่อกว่า 20 ปีก่อน ซึ่งโรคมีความรุนแรง แต่สามารถแก้ไขไปได้ในเวลาไม่นาน และเป็นวิกฤติในบางประเทศเท่านั้น
สำหรับรอบนี้แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หลายๆ คนออกมาเตือนว่าจะรุนแรงกว่าครั้งใดๆ เปรียบเทียบได้เท่ากับการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนเมื่อร้อยปีก่อน แต่ผมก็ยังคิดว่าสถานการณ์คงยุติได้โดยเร็ว แต่ในวันนี้มันรุนแรงกว่าที่คิดมาก ไม่ใช่แค่วิกฤติทางสุขภาพ แต่กลับลามไปถึงวิกฤติทางเศรษฐกิจของโลก และกำลังเป็นวิกฤติหนึ่งที่อาจเปลี่ยนแปลงโลกไปอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นจากวิกฤติครั้งนี้ก่อให้เกิดผลกระทบมหาศาล ในอนาคตเราจึงอาจจะได้ยินคำว่า โลกยุคก่อนโควิด (Pre-COVID) และโลกหลังยุคโควิด (Post-COVID)
ผมได้คุยกับเพื่อนๆ ทั้งในและต่างประเทศหลายคน เริ่มเห็นฟ้องกันว่า หลังจากวิกฤตินี้สิ้นสุดลง เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างมหาศาล วิถีชีวิตของผู้คนจะเปลี่ยนไป ตั้งแต่เรื่องการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน ธุรกิจและอุตสาหกรรมหลายๆอย่างจะเปลี่ยนไป แม้แต่มหาอำนาจของโลกก็อาจจะเปลี่ยนไป กระแสของโลกก็อาจจะเปลี่ยนทิศจากตะวันตกสู่ตะวันออกอย่างรวดเร็วขึ้น
วิกฤติครั้งนี้ไม่สามารถเทียบได้กับวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ แต่มันอาจจะพอกับสงครามโลกครั้งที่สอง หรือสงครามเย็น ซึ่งผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ แต่มันจะมีผลพวงทำให้ประชากรของโลกเปลี่ยนพฤติกรรมมหาศาล หากเปรียบกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัลก็เหมือนกับการที่มี iPhone เกิดขึ้น ทำให้คนสามารถใช้เทคโนโลยีไอทีได้ง่ายขึ้น ทำให้ผู้คนหันมาใช้อินเตอร์เน็ต ทำให้เกิดโซเชียลมีเดีย อันมีผลพวงให้พฤติกรรมคนเปลี่ยนไป อุตสาหกรรมเปลี่ยนไป แล้วมีผลทำให้เกิด Digital Disruption ในหลายอุตสาหกรรม
วิกฤติแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่ไม่สามารถทำงานได้แบบเดิม พนักงานไม่สามารถออกไปทำงานได้ หลายคนต้องอยู่บ้าน แม้บางคนอยู่เฉยๆ ดูทีวีในบ้าน คือการช่วยชาติแล้ว แต่สุดท้ายเมื่อเราต้องอยู่ในบ้านนานๆ เราก็จำเป็นจะต้องหารายได้ เรายังต้องทำงาน และอาจจะต้องพี่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลในการทำงาน ทั้งในการทำงานจากที่บ้าน (Work from home) รวมถึงการนำมาสร้างธุรกิจใหม่ๆ เพื่อความอยู่รอดจากรูปแบบเดิมๆ เพราะเชื่อว่าวิกฤติจะยาวนาน คงไม่ใช่แค่หนึ่งเดือน แต่อาจยาวนานข้ามไปเป็นปีก็เป็นได้ จึงจำเป็นจะต้องหาแนวทางในการทำธุรกิจใหม่ๆ ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล
การแพร่ระบาดของไวรัสทำให้เราต้องทำ Social distancing ผู้คนไม่สามารถออกมาพบปะสังสรรค์กันแบบเดิมได้ รูปแบบของการทานอาหารนอกบ้านก็เปลี่ยนไป หันมาใช้บริการสั่งอาหารผ่านฟู้ด เดลิเวอรี่ นอกจากนี้ผู้คนกลัวการใช้กระดาษที่อาจเป็นพาหะนำเชื้อโรค รวมถึงการใช้เงินสด ทำให้เราใช้สื่อออนไลน์ ชำระเงินออนไลน์มากขึ้น แม้กระทั่งรูปแบบการเรียนออนไลน์ที่ต้องเกิดขึ้นด้วยความจำเป็นจากวิกฤตินี้
เราเคยคิดเสมอว่าประเทศไทยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่สามารถจะหยุดให้คนไทยซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ออกเดือนละสองงวดได้ ใครจะคิดว่าวิกฤติครั้งนี้ทำให้ต้องยกเลิกการออกฉลากกินแบ่งในเดือนเมษายน ส่วนหนึ่งนอกจากการขายที่ลำบากแลัวยังมีผลจากที่ผู้คนที่ไม่อยากใช้มือจับสลากกินแบ่งในรูปแบบที่เป็นกระดาษกันมากนัก ซึ่งไม่แน่ในอนาคตเราอาจเห็นสลากออนไลน์ก็เป็นได้
เทคโนโลยีดิจิทัลหลายอย่างมีมานานแล้วแต่คนอาจไม่ได้ใช้กันอย่างจริงจัง แต่วิกฤติครั้งนี้เป็นการบังคับให้คนต้องหันมาใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างจริงจัง สุดท้ายแล้วผู้คนจะคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ตั้งแต่การทำงานจากที่บ้าน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆ การประชุมออนไลน์ การลงเวลาทำงานออนไลน์ การเรียนหนังสือทางไกล การสั่งอาหารออนไลน์ การชำระเงินออนไลน์ การอ่านหนังสือพิมพ์ออนไลน์ และอีกสารพัดเรื่อง
ผู้คนก็อาจจะคุ้นเคยกับสังคมแบบใหม่ที่อยู่กันลำพังติดต่อกันผ่านสื่อออนไลน์ อาจเห็นธุรกิจใหม่ๆ ผ่านระบบออนไลน์ เห็นอาชีพจำนวนมากที่เปลี่ยนไป สุดท้ายงานบางอย่าง อาจจะกลายเป็นอดีตแลัวเราจะบอกว่านั้นคือสิ่งที่เคยมีเคยใช้ในยุคก่อนโควิด-19 ใช่ครับโลกกำลังเปลี่ยนไปแล้ว