'กรณ์' แนะแบงก์ชาติเร่งประเมินสถานการณ์หุ้นกู้ก่อนครบดีล
“กรณ์” แนะรัฐใช้เงินกู้ในงบประมาณที่เหลืออยู่ 3 แสนล้านบาทก่อนพิจารณาออกพรก.กู้ฉุกเฉิน ขณะที่ หวั่น ซอฟท์โลนแบงก์ชาติไม่ถึงมือเอสเอ็มอีและการออกพรก.ให้อำนาจแบงก์ชาติซื้อตราสารหนี้เอกชนโดยตรงเป็นความเสี่ยงที่สุด
นายกรณ์ จาติกวณิช ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคกล้าโพสต์ผ่านเฟสส่วนตัวระบุว่า ในวันอังคารนี้(7เม.ย.)รัฐบาลจะพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดสำคัญ คือ 1.พรก. กู้เงิน 2.พรก. สินเชื่อช่วย SME และ 3.พรก. ให้แบงก์ชาติรับซื้อพันธบัตรเอกชนไทย
ทั้งสามเรื่องเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งผมจะรอดูรายละเอียดก่อนแสดงความเห็นเพิ่มเติม แต่เบื้องต้นมีประเด็นนำเสนอให้พิจารณา (และระมัดระวัง) ตามนี้
1.พรก. กู้เงิน ซึ่งหลักการของการออก พรก. กู้เงิน คือ เพื่อเสริมกำลังเงินให้รัฐเพิ่มเติมจากที่ พรบ. งบประมาณกำหนดไว้ และต้องเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาที่เร่งด่วนเกินกว่าที่จะรอเงินงบประมาณปีถัดไป
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องพิสูจน์ให้เห็นก่อนอื่นเลย คือ รัฐบาลต้องปรับงบที่ไม่เร่งด่วนหรือชัดเจนว่าใช้ไม่ทันสิ้นปีงบประมาณ และเอางบนั้นมาจัดสรรใหม่ในการต่อสู้กับสภาวะวิกฤติ เรื่องนี้นายกฯสั่งไปแล้ว และน่าจะมีความชัดเจนพรุ่งนี้
ขั้นตอนที่สอง คือ รัฐยังมีวงเงินกู้ตามเพดานตามกฎหมายในปีงบประมาณ (เหลืออยู่ประมาณ 300,000 ล้านบาท) รัฐควรพิจารณาวิธีใช้วงเงินนี้ก่อนที่จะออก พรก.
หากยังต้องออก พรก. รัฐต้องออก พรก. ในวงเงินที่จะใช้จริงอย่างเร่งด่วนทันทีเท่านั้น ส่วนที่เหลือควรเป็นการใช้เงินในงบประมาณปี 2564 ซึ่งต้องมีการรื้อใหม่ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
2.พรก.สินเชื่อ SME ประเด็นสำคัญคือแบงก์ชาติจะมีระบบประเมินความยุติธรรมในการเข้าถึงวงเงินจากแบงค์ชาติอย่างไร ผมคิดว่าแบงค์ชาติคงใช้กลไกธนาคารในการส่งวงเงินผ่านไปถึง SME จึงมีประเด็นว่าจะตรวจสอบอย่างไรว่าผู้เดือดร้อนจริงได้รับการช่วยเหลือ ไม่ใช่เพียงลูกค้าเดิมของธนาคาร
3.พรก. ให้แบงค์ชาติรับซื้อพันธบัตรเอกชนไทย โดยกฎหมายนี้น่าจะสุ่มเสี่ยงที่สุดเพราะไม่เคยมีมาตรการนี้ในประเทศไทยมาก่อน ซึ่งแบงก์ชาติปกติจะเป็น ‘ผู้ปล่อยกู้แนวสุดท้าย’ (lender of the last resort) แต่หากแบงค์ชาติมารับการ rollover พันธบัตรตามข่าวที่ปรากฏ แบงก์ชาติจะเป็นผู้ซื้อธนบัตรในฐานะผู้ซื้อโดยตรงเป็นครั้งแรก ซึ่งคำถามที่จะตามมาคือ
1. แบงก์ขาติจะซื้อในราคาเท่าไร 2. ผู้ถือหุ้นและธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้จะร่วมรับผิดชอบอย่างไร (ไม่ควรเป็นการโอนความเสี่ยงและผลขาดทุนทั้งหมดมาที่แบงก์ชาติ โดยที่ผลกำไรในอนาคตยังอยู่ที่นายทุนเหมือนเดิม) 3. มาตรการนี้เป็นการนำเงินสำรองมาช่วยอุ้มผู้ประกอบการใหญ่ จึงมีคำถามว่าผู้ประกอบการ SME ที่ระดับเครดิตตํ่ากว่าเกรดที่แบงก์ชาติพร้อมรับ จะได้รับการช่วยเหลืออย่างไรหรือไม่
ผมได้ปรึกษาผู้ที่มีประสบการณ์อีกหลายท่าน เราเห็นเพิ่มเติมว่าแบงก์ชาติควรต้อง 1.เริ่มประเมินสถานการณ์ของแต่ละบริษัทที่ออกพันธบัตรแต่เนิ่นๆ เพื่อกำหนดทั้งโครงสร้างการเงินที่เหมาะสมโดยรวมของกิจการ (อย่ารอให้ใกล้ช่วงพันธบัตรจะหมดอายุ)
2. กำหนดแผนยุทธศาสตร์การดำเนินการของผู้ประกอบการในช่วงนี้และช่วงหลังวิกฤต 3. เจรจาร่วมกับเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นในการกำหนดการแบ่งรับภาระความความเสียหายและประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น และกำหนดระดับความช่วยเหลือที่จะได้รับจากธนาคารกลาง
เรื่องการเตรียมกู้วิกฤตเศรษฐกิจจากโควิดเป็นเรื่องต้องทำแน่นอน และต้องทำอย่างรัดกุม ยุติธรรมและทั่วถึง ขอเป็นกำลังใจให้ทีมแบงก์ชาติ ทีมคลัง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคน