ผันผวนออกข้าง
ดัชนีวานนี้ปิดบวกกว่า 10.72 จุด คล้ายกับตลาดหุ้นภูมิภาค เนื่องจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มฟื้นตัว หลังจากที่ปรับตัวร่วงหนักก่อนหน้านี้
ช่วยหนุนกลุ่ม ENERG ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง โดยดัชนี SET Index ปิดที่ 1,272.53 จุด (+10.72 จุด) Volume 6.9 หมื่นลบ. ต่างชาติ -2,765.24 ลบ. TFEX Net +256 สัญญา ตราสารหนี้ +2,246 ลบ.
ปัจจัยบวก / ปัจจัยลบ
+/-ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวก 39.44 จุด +0.17% จากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นต่อเนื่องและคาดสภาผู้แทนฯสหรัฐจะผ่านมาตรการเยียวยาธุรกิจขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ดัชนีบวกเล็กน้อยหลังมีข่าวยา remdesivir ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคโควิด-19
+ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดบวก 2.72 ดอลลาร์ +19.7% ปิดที่ 16.50 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความตึงเครียดในอ่าวเปอร์เซียระหว่างสหรัฐและอิหร่านที่ต้องจับตาว่าจะทวีความรุนแรงอีกหรือไม่
-ทองคำปรับตัวขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหลัง WHO เผยยังไม่พบยารักษา COVID-19
-สหรัฐเผยยอดขายบ้านใหม่ทรุดหนักสุดรอบกว่า 6 ปีจากพิษโควิด
-มาร์กิตเผยดัชนี PMI ภาคผลิต-บริการของสหรัฐและยูโรโซนต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
-สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานพุ่งเกินคาดจากพิษโควิด
-ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือน มี.ค.63 อยู่ที่ 88.0 ต่ำสุดรอบ 28 เดือน และระบุว่าหากสถานการณ์โควิด-19 ยืดเยื้ออาจกระทบเป้าผลิตรถยนต์ปีนี้ลดลงถึง 50% เหลือแค่ 1 ล้านคัน
-ส.อ.ท.เผยดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือน มี.ค.63 อยู่ที่ 88.0 ต่ำสุดรอบ 28 เดือน
-ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตอ่อนตัว 5.48 จุด -0.19%
+/-ดัชนีนิกเกอิปิดพุ่งขึ้น 291.49 จุด +1.52% เช้านี้ปิดลบ 97.58 จุดวิตกแนวโน้มผลประกอบการ
-Fund Flow ต่างชาติมีสถานะขาย YTD 1.56 แสนลบ. ค่าเงินบาท 32.32 บาท/US
*จับตาสหรัฐเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย
คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sidway ออกข้าง โดยมีแรงกดดันจากการที่ WHO ระบุว่า ผลการใช้ยา Remdesivir ของบริษัท Gilead Sciences ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคโควิด-19 ส่วนราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ดีดตัวขึ้นแรง คาดว่าจะช่วยพยุงตลาดได้ คาดดัชนีเคลื่อนไหวในกรอบ 1,260-1,285 จุด
หุ้นรายงานพิเศษ
DTAC (Bloomberg Consensus 46.64 บาท) แนะนำ HOLD
คาดรายได้บริการเริ่มชะลอตัวในช่วงปลายงวด 1Q20 เนื่องจากการแข็งขันที่รุนแรงในการแย่งชิงลูกค้า ประกอบกับฐานลูกค้า Pre-Paid ที่เป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานเป็นส่วนใหญ่ ได้รับผลกระทบการการเลิกจ้างในช่วงโควิด-19 แต่สามารถชดเชยได้บางส่วนจากการใช้ Data ที่มีมากขึ้นจากการ Work from Home ส่วนด้านต้นทุนและค่าใช้จ่ายคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายโครงข่ายและติดตั้งอุปกรณ์ ค่าโรมมิ่งบนคลื่น 2300 MHz ที่ต้องจ่ายให้ TOT เป็นหลัก โดย Bloomberg Consensus คาดกำไรสุทธิงวด 1Q20 ไว้ที่1,367.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +172.4%QoQ แต่ยังชะลอตัว -3.3%YoY และแนะนำ HOLD
ความเห็น เราชอบ ADVANC มากที่สุดในกลุ่ม Operator โดยการแข่งขันในอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับสูง ซึ่ง ADVANC มีความได้เปรียบในการแข็งขันมากที่สุด เนื่องจากมีจำนวนคลื่นในมือมากที่สุด และฐานะการเงินแข็งแกร่ง พร้อมกับจ่ายปันผลในอัตราสูง
กลยุทธ์การลงทุน
- หุ้น Defensive (RATCH TTW ADVANC CHG)
- หุ้นได้ประโยชน์จากการ Work from home (ADVANC INTUCH DTAC TRUE JAS JASIF DIF COM7 SIS SYNEX)
- หุ้นที่ได้ประโยชน์หากมีการทยอยปลด Lockdown (BTS BTSGIF BEM CRC MC AU)
- หุ้น mai ที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันลดลงอยู่ในธุรกิจขนส่ง (ATP30 VL SONIC AMA KIAT)
หุ้นมีข่าว
· TACC คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเหมาะสมลงสู่ 5.50 บาท จากเดิม 6.45 บาท
คาดแนวโน้มผลประกอบการงวด 1Q63 เติบโตเล็กน้อย YoY แต่หดตัว QoQ จากผลกระทบ COVID-19 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปี 63 จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงเคอร์ฟิวในเดือน มี.ค. ส่งผลให้กำลังซื้อของลูกค้าหายไปบางส่วน ซึ่งกระทบต่อกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มโถกดเย็น และ Character Business ทำให้ลูกค้าเลื่อนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่างไรก็ดี มุม All-Café ยังมีแนวโน้มดีตามปกติ โดยเราคาดแนวโน้มผลประกอบการ 1Q63 อาจเติบโตเล็กน้อย YoY จากฐานต่ำในปีก่อน แต่หดตัว QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล รวมทั้งผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้กำลังซื้อชะลอตัวลง
ภาพรวมทั้งปี 63 เราคาดรายได้ราว 1,594 ลบ. ยังคงเติบโตราว 5% (ปรับลดจากเดิมที่โต 10%) แม้ว่าจะมีปัจจัยกดดันจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างไรก็ดี เราคาดว่ารายได้จะยังคงเติบโตตามการขยายสาขาใหม่ของ 7-Eleven ที่คาดว่าปีนี้จะเปิดเพิ่มราว 600-650 สาขา ประกอบกับคาดว่ากำลังซื้อจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ดี เราปรับลด %GPM เหลือ 30% จากปีก่อนซึ่งอยุ่ที่ระดับ 30.7% ส่งผลให้คาดกำไรปี 63 ราว 164 ลบ. +1%YoY (ปรับลดลงจากเดิม 7% ที่ 177 ลบ. +10%YoY) รวมทั้งปรับราคาเหมาะสมลดลงสู่ 5.50 บาท (จากเดิม 6.45 บาท)
· KKP Conference Call (ราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus 54.52 บาท)
Yield ดีเหมาะถือยาวรับเงินปันผล
1Q63 มีกำไรเบ็ดเสร็จ 799 ล้านบาท ลดลง 42% จากกำไรสุทธิ 1,484 ล้านบาท เนื่องจากรวมผลขาดทุนจากการวัดมูลค่าเงินลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายตามภาวะตลาดที่ผันผวน ผลจากการใช้มาตรฐาน TFRS9 ส่งผลบวกให้รายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น คชจ.ดำเนินงานลดลง และฐานะเงินกองทุนเพิ่มขึ้นจากการมีสำรองส่วนเกินและนับรวมเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์และภาระผูกพันของความเสี่ยงด้านเครดิตเข้าเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ผลด้านลบคือ NPL เพิ่มขึ้นจากประเมินเพิ่มเติมถึงสินเชื่อจัดชั้นพิเศษใน stage 2 ทั้งนี้ %NPL ลดเหลือ 3.7% จากระดับ 4% ณ ปลายปี 62 จากการลดลงของ NPL สินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อธุรกิจ
ความเห็น ฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองบวกต่อปัจจัยพื้นฐานในระยะยาวจากโอกาสด้านธุรกิจตลาดทุน 1Q63 ช่วยหนุนรายได้ค่าธรรมเนียมและกำไรจากเงินลงทุนให้เติบโตได้ดี ขณะที่บล.ภัทรที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ที่ 10.3% ประกอบกับการลงทุนระยะยาวมี yield สูงราว 9% เหมาะถือยาวรับเงินปันผล
· กลุ่มท่องเที่ยวเดือนเมษายนเป็นจุดต่ำสุดของปี หากไม่มีการขยายเวลาในการปิดสนามบินต่อ เผยมีนาคมนักท่องเที่ยวลดลง 76% ประเมินปี 2563 จะเห็นเป็นขาดทุนสุทธิทั้งกลุ่ม เพราะผลกระทบจาก COVID-19 มากกว่าที่คาดไว้ แต่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังมีการปิด โรงแรม CENTEL จะเป็นหุ้นที่มี Cash Flow ที่แข็งแกร่งที่สุด รองลงมาเป็น ERW และ MINT (ที่มาทันหุ้น)สมลดลงสู่ 5.50 บาท (จากเดิม 6.45 บาท)
· (+/-) AOT (Bloomberg Consensus 62.06 บาท) “นิตินัย” ยัน AOT เพิ่มทุน THAI ไม่เหมาะสม! เชื่อเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน ขัดหลักการ ICAO ที่ห้ามเลือกปฏิบัติ แถมไม่เคยมีรูปแบบนี้เกิดขึ้นในโลก ขณะที่ล่าสุดออกมาตรการก๊อก 2 ช่วย “ผู้ประกอบการ-แอร์ไลน์” ยาว 9 เดือน หวังลดผลกระทบจากโควิด-19 ระบาด (ที่มาข่าวหุ้น)
· (+) AAV (Bloomberg Consensus 2.24 บาท) จ่อเปิดบินในประเทศอีกครั้ง 1 พ.ค.นี้ ด้าน “กพท.” ยังคุมเข้มกันโควิด-19 กำหนดขายตั๋วได้แค่ 70% ของจำนวนที่นั่งแต่ละลำ รักษาระยะที่นั่งเว้นที่นั่ง ห้ามเสิร์ฟอาหาร-เครื่องดื่ม สวมหน้ากากอนามัยตลอดไฟลต์ (ที่มา ข่าวหุ้น)
·
· (+) MINT (Bloomberg Consensus 27.26 บาท) แจ้งปิดดีลซื้อ BTG ธุรกิจอาหารในสิงคโปร์ หลังผู้ถือหุ้นตอบรับทำคำเสนอซื้อทั้งหมด 98.03% พร้อมเตรียมเพิกถอน BTG ออกจากตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ต่อไป (ที่มา ข่าวหุ้น)
· (+) KUMWEL (Bloomberg Consensus - บาท) โชว์พัฒนาและจดลิขสิทธิ์สินค้าใหม่ 3 รายการ หวังปั๊มรายได้เพิ่ม เตรียมสร้างโรงงานผลิตแท่งหลักดิน คาดเสร็จปี 64 ยอมรับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 กระทบธุรกิจบ้าง โครงการภาครัฐดีเลย์ ลุ้นจบในไตรมาส 2/63 พร้อมรักษาฐานะการเงินให้มั่นคง ควบคุมต้นทุนการผลิต ลดค่าใช้จ่าย ขยายฐานลูกค้าใหม่ภาครัฐ-เอกชน และต่างประเทศ (ที่มา ข่าวหุ้น)
· (+) SUSCO (Bloomberg Consensus 3.10 บาท) จ่อรับอานิสงค์ภาครัฐส่งสัญญาณปลดล็อกดาวน์ หนุนดีมานด์เติมน้ำมันฟื้นตัว เอ็มดี "ชัยฤทธิ์ สิมะโรจน์" เดินหน้าทุ่มงบ 500 ล้านบาท ขยายสถานีบริการเพิ่ม 20 แห่งทั่วไทย สยายปีกรับทรัพย์เพิ่ม ด้านโบรกเกอร์ แนะ "ซื้อ" เป้าหมาย 2.50 บาท (ที่มา ทันหุ้น)
· (+) TVO (Bloomberg Consensus 29.13 บาท) ดีมานด์ใช้น้ำมันพืชโตแรง ดันกำลังการผลิตเดินเครื่องเต็มสูบ หนุนผลงานโค้งแรกสดใส ทั้งปีมั่นใจรายได้สูงขึ้นจากปีก่อน ธุรกิจอาหารสัตว์รายได้ยังดี ตลาดจีนกลับมาฟื้น ศึกษาออกสินค้าใหม่ต่อยอด โบรกส่องกำไรไตรมาส 1/2563 แตะ 435 ล้านบาทมาร์จิ้นสูง ชูปันผลจูงใจ มองเป้า 30.50 บาท (ที่มา ทันหุ้น)
· (+) BAFS (Bloomberg Consensus 31.00 บาท) หวังเดือน พ.ค. 2563 สายการบินเริ่มกลับมาเปิดให้บริการได้ คาดผลักดันปริมาณการเติมน้ำมัน Q3-Q4 ขึ้นมาที่ 60-70% หลังโรคระบาดโควิด-19 กระทบ ฉุดปริมาณการเติมน้ำมันลดลงจากปีก่อนราว 40% ด้านรายได้คาดลดลงเหลือ 22% ในกรณีที่แย่ที่สุด (ที่มา ทันหุ้น)
· (+) เปิดโผกลุ่มอาหารส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ ยอดขายพุ่งกระฉูด หลังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แถมบาทอ่อนหนุน พบ SUN-XO โดดรับอานิสงส์ ฟากผู้บริหาร SUN ยิ้มรับยอดขายไตรมาสแรกเข้าเป้า หลังออร์เดอร์พุ่งขึ้น 10% ขณะที่ XO เผยไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แถมสินค้าขายดีในซูเปอร์มาร์เก็ต(ที่มา ทันหุ้น)