รัฐเล็งถก20สมาคมท่องเที่ยว เปิดต่างชาติเที่ยวไม่กักตัว
“กรมควบคุมโรค” เรียก 20 สมาคมท่องเที่ยวถกเตรียมความพร้อม นัดระดมสมองหาวิธีต้อนรับทัวริสต์ต่างชาติช่วงแรกแบบไม่ต้องกักตัวดูอาการ 14 วัน ด้านโรงแรม “ดุสิตธานี-อวานี”เปิดตัวมาตรการใหม่ด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย ฟื้นเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว
นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ กรรมการบริหารโรงแรมเดอะภัทรา พระราม 9 และโรงแรมแกรนด์ไดมอนด์สวีท กล่าวในงานสัมมนาออนไลน์จัดโดยสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) และงานฟู้ด แอนด์ โฮเทล ไทยแลนด์ 2020 ภายใต้หัวข้อ “มาตรฐานความปลอดภัย:ลูกค้าโรงแรมและร้านอาหารต้องการเห็นอะไรจากคุณ” วานนี้ (20 พ.ค.) ว่า ล่าสุดกรมควบคุมโรค ได้เชิญสมาคมที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวและบริการกว่า 20 สมาคมให้ร่วมประชุมเร็วๆ นี้ เพื่อหารือการเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงแรก เช่น จีน ฮ่องกง และมาเก๊า เมื่อท้องที่ดังกล่าวสามารถควบคุมโรคโควิด-19 ได้ดี ว่าจะใช้วิธีการใดบ้าง ในกรณีที่ไม่ต้องกักกันตัวนักท่องเที่ยว 14 วันเพื่อเฝ้าระวังโรค
นอกจากนี้ ทีเอชเอยังร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงสาธารณสุข จัดทำแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการความปลอดภัยและสุขอนามัย (Safety & Health Administration : SHA) ให้ผู้ประกอบการโรงแรมที่สนใจลงทะเบียนเพื่อประเมินตนเองและรับการตรวจสอบเพื่อรับตราสัญลักษณ์SHAเสริมสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวในการเข้าพัก
“ช่วงแรกดีมานด์นักท่องเที่ยวจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เพราะยังต้องติดตามว่าวัคซีนจะผลิตแล้วเสร็จเมื่อไร และมีความกังวลเรื่องสภาพเศรษฐกิจที่มีคนตกงานทั่วโลก กำลังซื้อลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นลูกค้าของภาคท่องเที่ยวไทย จึงคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในช่วงแรกๆ จะเป็นกลุ่มลักชัวรี่ เพราะราคาสินค้าและบริการมีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างที่นั่งบนเครื่องบินก็ถูกจำกัดด้วยมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ต้องขายแบบที่เว้นที่”
อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการโรงแรมจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมทุกด้านเพื่อรองรับชีวิตวิถีใหม่หรือนิวนอร์มอล โดยเฉพาะในช่วงรอวัคซีน ผ่านการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวได้จริง สร้างความมั่นใจด้านสุขอนามัย และไม่ซ้ำซ้อน เช่น หากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ลงทะเบียนที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ควรมีการออกคิวอาร์โค้ดให้โรงแรมสามารถสแกนข้อมูลในขั้นตอนเช็คอินเข้าพักได้เลย เพื่อลดการสัมผัสระหว่างนักท่องเที่ยวกับพนักงานโรงแรม และลดความซ้ำซ้อนของการกรอกข้อมูล
ด้านนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ได้นำเสนอบริการ “Dusit Care - Stay With Confidence”ยกระดับ5มาตรฐานสำหรับการให้บริการตอบรับนิวนอร์มอลที่เน้นเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย โดยเฉพาะการเข้าพักและการรับประทานอาหาร เพื่อสร้างความมั่นใจ รองรับนักท่องเที่ยวในประเทศของโรงแรมในเครือดุสิตธานีทุกแห่ง
ประกอบด้วย 1.Flexible Stays เพิ่มความยืดหยุ่นและลดข้อจำกัดเดิมๆ ของการเข้าพักและรับประทานอาหารเช้า โดยลูกค้าสามารถเช็คอินในเวลาที่สะดวกได้ตลอดเวลา เพื่อลดการแออัดคับคั่ง และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าได้เข้าพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ 2.Safety & Well-beingทุกโรงแรมในเครือดุสิตธานีมีการกำหนดมาตรการด้านสุขภาพและความปลอดภัยอย่างเข้มข้น เน้นการฆ่าเชื้อความสะอาด เพิ่มระยะห่าง และลดการสัมผัส รวมถึงมีระบบคัดกรองและวัดอุณหภูมิสำหรับลูกค้าทุกรายที่เดินทางมาถึง
3.Local Experienceผ่านบริการชอปปิงส่วนตัว โดยร่วมมือกับผู้ประกอบการในชุมชนของแต่ละท้องถิ่น ในการจัดหาอาหารหรือของฝากที่มีชื่อเสียง รวมถึงผลิตภัณฑ์และของที่ระลึกจากชุมชนหรือท้องถิ่นในย่านนั้นๆ มาให้แขกที่เข้าพักได้ชอปปิงถึงภายในโรงแรมโดยไม่ต้องออกไปไหน
4.Technologyนำเทคโนโลยีไร้สัมผัสมาใช้กับบริการต่างๆ ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าได้มากขึ้น เช่น การชำระเงินด้วยมือถือสำหรับห้องพักและร้านอาหาร,ดิจิทัลเมนูในร้านค้าต่างๆ และไวไฟความเร็วสูง และระบบการประชุมแบบไฮบริด ซึ่งเป็นการประชุมเสมือนจริงในรูปแบบออนไลน์ และ5.Dusit Care Kitหรือชุดป้องกันส่วนบุคคลแบบพกพาเพื่อนำติดตัวเวลาไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ โดยจะมอบเป็นของขวัญให้กับลูกค้าทุกคนทันทีเมื่อเช็คอิน
นายฮาเวียร์ พาร์โด รองประธานฝ่ายปฏิบัติการ อวานี โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท ภายใต้เครือไมเนอร์ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า แบรนด์อวานีได้เปิดตัวมาตรการใหม่ด้านอนามัยและความปลอดภัย ภายใต้ชื่อ อวานี ชิลด์ (AvaniSHIELD) ที่จะถูกปรับใช้กับโรงแรมในเครือ 33 แห่งใน 18 ประเทศ ซึ่งได้ยกระดับมาตรฐานด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยของทั้งแขกผู้ใช้บริการและพนักงาน
หนึ่งในมาตรการคือการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ อาทิ การเช็คอิน เช็คเอาท์ และบริการคอนเซียช (concierge)ในรูปแบบดิจิทัล การเคลือบพื้นผิวที่ได้รับการสัมผัสบ่อยๆ ด้วยทองแดง เครื่องฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซี และเครื่องฟอกอากาศมาตรฐานHEPAตามแนวทางที่ได้ประกาศจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC)และองค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นต้น