กพท.คาด ก.ย.นี้ ไฟล์ตอินเตอร์เริ่มคึกคัก รับไฮซีซั่นการท่องเที่ยว
กพท.ถกสายการบิน – สนามบิน เตรียมความพร้อมเปิดน่านฟ้า ให้บริการเส้นทางระหว่างประเทศ ปลดล็อคไม่เว้นที่นั่ง สั่งเสิร์ฟอาหารภาชนะมิดชิด คาด ก.ย.นี้ ไฟล์ตบินเริ่มคึกคักรับไฮซีซั่นการท่องเที่ยว ประเมินปีนี้ผู้โดยสารร่วง 70%
นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมผู้ประกอบการสายการบินถึงมาตรการป้องกันโรคโควิด -19 สำหรับการกลับมาปฏิบัติการบิน กรณีเที่ยวบินระหว่างประเทศ วันนี้ (16 มิ.ย.) โดยระบุว่า วันนี้มีการประชุมร่วมกับ 10 สายการบินที่ทำการบินเส้นทางระหว่างประเทศทั้งไทยและต่างชาติ รวมไปถึง 5 ผู้ประกอบการเที่ยวบินส่วนบุคคล (Private jet) และ 4 ผู้ประกอบการสนามบินในไทย
โดยรายละเอียดของการหารือ เป็นการเตรียมความพร้อมให้บริการเส้นทางบินระหว่างประเทศ หากไทยปลดล็อคการเดินทางดังกล่าว ซึ่งเบื้องต้น กพท.จะจัดใช้มาตรการตามระเบียบข้อกำหนดขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอเคโอ) ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่บังคับใช้สากล อาทิ ข้อกำหนดสายการบินไม่ต้องเว้นที่นั่ง แต่ต้องเข้มงวดเรื่องระบบกรองอากาศ รวมทั้งเข้มงวดผู้โดยสารต้องสวมหน้ากากตลอดการเดินทาง
ขณะเดียวกัน มีประเด็นที่สายการบินยังกังวล คือ เรื่อของบริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน ในเส้นทางที่ต้องทำการบินเกิน 2 ชั่วโมง โดย กพท.กำหนดตามมาตรฐานของไอเคโอ อนุญาตให้สายการบินสามารถให้บริการอาหารและเครื่องดื่มได้ แต่ต้องจัดเสิร์ฟภายในภาชนะปิด เพื่อลดการสัมผัสระหว่างลูกเรือ และผู้โดยสาร นอกจากนี้ยังกำหนดให้เสิร์ฟภายหลังทำการบินไปแล้ว 2 ชั่วโมง
นายจุฬา ยังกล่าวอีกว่า กพท.ยังเตรียมข้อกำหนดในเรื่องของการสำรองที่นั่ง 3 แถวหลังสุดท้ายด้านใดด้านหนึ่งของอากาศยานไว้สำหรับแยกกักผู้ป่วยหรือสงสัยว่าจะป่วยเพื่อเฝ้าสังเกตอาการและป้องกันการแพร่กระจายของโรค ซึ่งในการประชุมได้ข้อยุติอนุมัติในหลักการ กำหนดหากบินเพียง 1 ชั่วโมง อาทิ เส้นทางประเทศเพื่อนบ้าน อาจไม่ต้องจัดสำรองพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งสายการบินสามารถประเมินความเสี่ยงของแต่ประเทศ เพื่อพิจารณาสำรองที่นั่งได้
“วันนี้เรามาเตรียมความพร้อมกัน เพราะหากจะประกาศให้กลับมาเปิดบินระหว่างประเทศได้ สายการบินต้องมีมาตรการรองรับ มีแนวทางปฏิบัติ ซึ่งตอนนี้เราก็ยึดหลักการสากลของไอเคโอ เรื่องเว้นที่นั่งไอเคโอก็ยกเว้นไปแล้ว เพราะก็ประเมินว่า หากสายการบินจะทำการบิน ต้องมีโหลดแฟกเตอร์อยู่ที่ 77% จึงจะคุ้ม หากจะกำหนดให้เว้นระยะห่าง เหลือที่นั่ง 70% ก็จะทำให้สายการบินขาดทุน ไม่คุ้มต่อการเปิดบิน”
ส่วนประเด็นของการกำหนดวันอนุญาตทำการบินเส้นทางระหว่างประเทศ กพท.ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีการประกาศอนุญาตทำการบินในวันที่ 1 ก.ค.นี้หรือไม่ เนื่องจากต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อประเมินความปลอดภัย และเจรจาจับคู่ประเทศก่อน
อย่างไรก็ดี การพิจารณาเปิดบินเส้นทางระหว่างประเทศ ต้องคำนึงถึง 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1.พิจารณาเชิงประเทศ ว่ามีความปลอดภัยในการเดินทาง และเปิดให้คนไทยเดินทางหรือไม่ และ 2. พิจารณากลุ่มเดินทางที่มีความจำเป็น และมีความเสี่ยงน้อยที่สุด เช่น กลุ่มนักธุรกิจ เพราะกลุ่มนี้หากจะเดินทางต้องได้รับการตรวจเช็คสุขภาพจากบริษัทต้นสังกัดมาก่อนแล้ว ดังนั้นจะมีความปลอดภัยมากกว่า หากเทียบกับกลุ่มนักท่องเที่ยว
นายจุฬา ยังกล่าวอีกว่า ขั้นตอนการประเมินเปิดให้บริการเส้นทางบิน เบื้องต้นจะเริ่มจากการพิจารณาความเหมาะสมของประเทศปลายทาง โดยกระทรวงสาธารณสุขจะพิจารณา และประสานมายัง กพท. หลังจากนั้น กพท.จะแจ้งให้สายการบินทราบประเทศปลายทางที่สามารถเดินทางได้ พร้อมทั้งชี้แจงถึงมาตรการที่ประเทศปลายทางบังคับปฏิบัติ เพื่อให้สายการบินประเมินความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร ว่าจะเกิดความคุ้มค่าหรือไม่
“ตอนนี้สายการบินก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่าเส้นทางไหนที่จะพร้อมกลับมาเปิดให้บริการก่อน เพราะว่าต้องรอดูมาตรการด้านสาธารณสุขที่ไทยและประเทศปลายทางจะกำหนดต่อกันด้วย เพราะประเด็นนี้จะมีผลต่อความต้องการเดินทางของผู้โดยสาร หากมีมาตรการบังคับตรวจเยอะ ผู้โดยสารก็อาจไม่นิยมเดินทาง จะทำการบินก็อาจไม่คุ้มค่า สายการบินก็อาจไม่เลือกกลับไปเปิดบิน”
สำหรับสถานการณ์การบินในปีนี้ กพท.ประเมินว่าจะมีปริมาณผู้โดยสารลดลงราว 70% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีผู้โดยสารปิดตัวเลขอยู่ราว 165 ล้านคน โดย กพท.ประเมินว่าในเดือน ก.ย.นี้ น่าจะเริ่มเห็นการเดินทางของเส้นทางบินระหว่างประเทศกลับมาเปิดให้บริการ เพราะต่างประเทศเริ่มทยอยประกาศเปิดประเทศบ้างแล้ว เนื่องจากเริ่มเข้าช่วงฤดูการท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น)