BBL กำไรครึ่งแรก วูบ 41.4% หลังสำรองพุ่ง 1.3 หมื่นล้าน
ธนาคารกรุงเทพเปิดงบครึ่งปีแรก 10,765 ล้านบาท ลดลง 41.4% จากช่วงเดียวกันก่อนหน้า หลังสำรองเพิ่มเป็น 1.3หมื่นล้าน รองรับความไม่แน่นอน-โควิด-19
ธนาคารกรุงเทพ(BBL) แจ้งผลประกอบการครึ่งปีแรก 2563 โดย กำไรสุทธิของธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อย ในครึ่งแรกของปี 2563 มีจำนวน 10,765 ล้านบาท
ซึ่งได้รวมผลประกอบการของธนาคารเพอร์มาตาตั้งแต่วันที่ธนาคารเข้าถือหุ้น โดยกำไรสุทธิลดลงจากครึ่งแรกของปี 2562 เนื่องจากธนาคารมีการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อกันเงินสำรองสำหรับความไม่แน่นอนที่อาจเพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจที่หดตัวจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19
. ซึ่งการคาดการณ์วิกฤตในครั้งนี้ยังยากที่จะคาดคะเนเพราะเป็นวิกฤตด้านสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบกว้างไกลต่อระบบเศรษฐกิจโลกไม่ใช่วิกฤตเศรษฐกิจโดยตรงเหมือนที่ผ่านมาในอดีต
สำหรับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 หากไม่รวมธนาคารเพอร์มาตา รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 ตามการเติบโตของสินเชื่อ
ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารอยู่ที่ร้อยละ 2.31 สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงส่วนใหญ่จากกำไรสุทธิจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลง สาเหตุหลักจากการเปลี่ยนแปลงการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อตาม TFRS 9 สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอยู่ในระดับใกล้เคียงกับครึ่งแรกของปี 2562
โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ร้อยละ 45.0 โดยธนาคารยังคงดูแลค่าใช้จ่ายอย่างมีวินัย เน้นการใช้จ่ายที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยด้านสาธารณสุข
รวมถึงการดำเนินการปรับปรุงระบบงานให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น และชะลอการใช้จ่ายที่ยังไม่จำเป็นในช่วงภาวะซบเซาการนำมาตรฐานกลุ่มเครื่องมือทางการเงินฉบับใหม่มาถือปฏิบัติธนาคารและบริษัทย่อยได้นำมาตรฐานกลุ่มเครื่องมือทางการเงินฉบับใหม่ (ฉบับที่ 9) มาถือปฏิบัติกับงบการเงินสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป
โดยไม่ปรับงบการเงินเปรียบเทียบย้อนหลัง การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่ การจัดประเภทและการวัดมูลค่าสินทรัพย์และหนี้สินทางการเงิน การคำนวณการด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงินโดยใช้ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) การบัญชีป้องกันความเสี่ยง และการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อโดยใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Interest Rate: EIR)
ในครึ่งแรกของปี 2563 เศรษฐกิจไทยหดตัวอย่างหนักจากผลกระทบของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) มาตรการปิดเมืองทั่วโลกและมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ เป็นผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวหดตัวอย่างหนัก
ประกอบกับการส่งออกและการนำเข้าสินค้าของไทยลดลงตามความต้องการของประเทศคู่ค้าที่อ่อนแอ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศลดลงตามไปด้วย การบริโภคภาคเอกชนลดลงอย่างมากจากยอดขายรถยนต์ที่ลดลง และการหยุดชะงักของกิจกรรมภาคบริการ การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนหดตัวจากความต้องการที่ลดลงทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐขยายตัวจากการเร่งเบิกจ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้
นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบทางเศรษฐกิจต่อประชาชนและผู้ประกอบการในหลายภาค รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อผ่อนคลายผลกระทบดังกล่าวมาเป็นลำดับ
ในการนี้ธนาคารกรุงเทพได้ร่วมสนับสนุนนโยบายของภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทยโดยเร่งออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจ อาทิ การสนับสนุนวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม การพักชำระหนี้ และออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยโดยปรับลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำ เพิ่มวงเงิน รวมทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นการทั่วไปสำหรับทั้งลูกค้าธุรกิจและลูกค้ารายย่อย
ด้วยความเข้าใจถึงสถานการณ์ที่ผู้ประกอบการและประชาชนยังคงเผชิญอยู่ ธนาคารกรุงเทพมีความมุ่งมั่นพร้อมเป็น “เพื่อนคู่คิด” ที่จะประคับประคองให้ลูกค้าผู้ประกอบการและประชาชนสามารถผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้ ด้วยการให้คำปรึกษาและความช่วยเหลือลูกค้าให้มีเงินทุนและสภาพคล่องเพียงพอ เพื่อเสริมศักยภาพในการรับมือกับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
นอกจากนี้ ธนาคารมีความห่วงใยในสวัสดิภาพและความปลอดภัยของลูกค้า พนักงาน และประชาชนเป็นสำคัญ โดยได้ดำเนินการตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยเพื่อร่วมป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเคร่งครัด และพร้อมเคียงข้างในการเป็นเพื่อนคู่คิดเพื่อก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
ธนาคารกรุงเทพต้อนรับธนาคารเพอร์มาตาเข้าสู่ครอบครัวเสร็จสมบูรณ์ในเดือนพฤษภาคม 2563เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2563 ธนาคารกรุงเทพได้เข้าถือหุ้นธนาคารเพอร์มาตาในประเทศอินโดนีเซียที่ร้อยละ 89.12 เสร็จสมบูรณ์
นับเป็นสมาชิกใหม่ในกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารกรุงเทพที่จะเสริมสร้างศักยภาพการให้บริการด้านการเงินเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนได้ดียิ่งขึ้น
. ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ของธนาคารในการเสริมสร้างรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน สำหรับงบการเงินรวมของธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยในครึ่งแรกของปี 2563 ได้รวมผลประกอบการของธนาคารเพอร์มาตาตั้งแต่วันที่ธนาคารเข้าถือหุ้น โดยธนาคารเพอร์มาตามีสินทรัพย์ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 จำนวน 336,964 ล้านบาท และหนี้สินจำนวน 285,022 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของสินทรัพย์รวม และร้อยละ 8 ของหนี้สินรวมของธนาคาร
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจหดตัวอย่างหนักทั่วโลกและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19 ธนาคารกรุงเทพยังคงยึดมั่นแนวทางในการดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบและระมัดระวัง
ควบคู่กับการดำรงฐานะการเงินและเงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืนพร้อมก้าวเข้าสู่บริบทใหม่ของการดำเนินชีวิต (New Normal)
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,353,848 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 จากสิ้นปี 2562 หากไม่รวมธนาคารเพอร์มาตา เงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 จากสินเชื่อธุรกิจ
. ซึ่งเป็นไปตามประมาณการสินเชื่อที่คาดไว้ตั้งแต่ปลายปีก่อน สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 4.1 ขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ร้อยละ 170.5
. ทั้งนี้ ธนาคารยังคงอยู่เคียงข้างและดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและก้าวเข้าสู่บริบทใหม่ของการดำเนินชีวิต (New Normal) พร้อมทั้งให้ความสำคัญในการดูแลกระบวนการอำนวยสินเชื่อและบริหารความเสี่ยง ควบคู่กับการดำรงค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
. ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังทั้งในภาวะเศรษฐกิจปกติและภาวะถดถอย
ด้านเงินกองทุนและสภาพคล่อง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 ธนาคารมีเงินรับฝากจำนวน 2,852,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3 จากสิ้นปี 2562 หากไม่รวมธนาคารเพอร์มาตา เงินรับฝากเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 จากเงินรับฝากทุกประเภท จากการที่ลูกค้ามุ่งเน้นการบริหารสินทรัพย์โดยเน้นกลยุทธ์เชิงคุณภาพ
ทสำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 82.5 สะท้อนถึงสภาพคล่องที่เพียงพอรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ร้อยละ 16.6 ร้อยละ 14.0 และร้อยละ 14.0 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด