หุ้น ‘ยาง’แท็กทีมราคาพุ่ง รอลุ้นกำไรบวกยกกลุ่ม
กลับมาเป็นหุ้นขาขึ้นอีกครั้งในธุรกิจยางพาราที่ขึ้นมาแบบแพ๊กกลุ่มจนความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นขยับขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
นอกจากจะได้แรงหนุนระยะยาวจากธุรกิจเป็นที่ต้องการของตลาดโลกแล้วยังมีลุ้นในเรื่องผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2563 ที่เตรียมทยอยประกาศออกมา และคาดการณ์กันว่าจะทำสถิติสูงสุดในหุ้นรายตัวจนมีผลต่อราคาหุ้นในปัจจุบัน
นับตั้งแต่เกิดโรคไวรัสโควิด-19 ทำให้ธุรกิจยางพารามีความต้องการสูงขึ้น เพราะเป็นวัตถุดิบใช้ในการผลิตถุงมือยาง อุปกรณ์ป้องกันโรคติดต่อ จนทำให้หุ้นในกลุ่มนี้ขึ้นมาเป็นดาวเด่นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
เมื่ออิงกับตัวเลขความต้องการในตลาดโลกแล้ว เห็นความเปลี่ยนแปลงจากพฤติกรรมผู้บริโภคให้ความสำคัญกับอาหารและสินค้าที่เป็นประโยชน์กับสุขภาพและปลอดภัยจากโควิด -19 ส่งผลทำให้ตัวเลขการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.) มีการเปลี่ยนแปลงนัยสำคัญ
ในช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ของปี 2563 ไทยขยับเป็นผู้ส่งออกสินค้า รวมผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และยางพารา อันดับที่ 9 ของโลก จากที่อยู่อันดับ 11 ในปี 2562 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปของไทยไป 18 ประเทศที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA) ด้วย ในช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ปีนี้ มูลค่า 13,117 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า คิดเป็นสัดส่วน 66.92% ของการส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปทั้งหมดของไทยไปตลาดโลก
หุ้นที่เกี่ยวข้องทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จึงกลายเป็นที่จับตามองของนักลงทุน ซึ่งหุ้นที่นำตลาดยกให้คู่แม่-ลูก บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA และ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ที่พึ่งเข้าตลาดหุ้นไม่นาน 2 ก.ค. ที่ผ่านมา
ทั้ง 2 บริษัท เป็นธุรกิจที่ใหญ่อันดับต้นๆของโลกจากการมีทั้งธุรกิจสวนยางพาราในประเทศไทย มีโรงงานผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติ ทั้งยางแท่ง ( TSR) ยางแผ่นรมควัน (RSS) และน้ำยางข้น ซึ่งสามารถนำไปผลิตเป็นถุงมือยาง และสินค้าสำเร็จรูปอื่นๆ
ช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 โบรกเกอร์ได้คาดการณ์ ทิศทางกำไร STGT ขายขึ้นและปรับตัวทำกำไรต่อ จนทำให้แหลายแห่งปรับราคาเป้าหมายเดิมขึ้นไปสู่เลข 3 หลัก ตามกำไรที่เติบโตมากกว่า 100 %
ราคาหุ้น STA และ STGT ปรับตัวขึ้นมาจากสิ้นปี 2562 และตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นที่ 187.50 % และ 45.86 % ตามลำดับ หากคำนวนจากอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ที่ 32.83 เท่า และ 140.56 เท่าตามลำดับ กลายเป็นหุ้นที่มีมูลค่าแพง หากแต่นักลงทุนยังมั่นใจว่าพื้นฐานของหุ้นทั้ง 2 ตัวยังรองรับอยู่
ถัดมาบริษัท ไทยรับเบอร์ลาแท๊คซ์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB มีทั้งธุรกิจสวนยางพารา และผู้จำหน่ายน้ำยางข้นซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตถุงมือแพทย์, ถุงมือยางทาความสะอาด, ถุงยางอนามัย, เส้นด้ายยางยืด, กาว ,ลูกโป่ง, จุกนมยางสำหรับเด็ก, โฟม และที่นอน ซึ่งส่วนใหญ่ขายให้ลูกค้านำไปแปรรูป มีการมีการส่งออกไปขาย 40 % ของรายได้
ราคาหุ้น TRUBB ปรับตัวขึ้นไม่น้อยจากสิ้นปี 2562 บวกมาแล้ว 128 % ความร้อนแรงของราคาหุ้นทำให้ตลาดหลักทรัพย์ให้เกณฑ์ซื้อขายเงินสด (cash balance) ตั้งแต่ 13 ก.ค. -21 ส.ค. เช่นเดียวกันกับหุ้น STGT
จากช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 พลิกมีกำไรจากเช่วงเดียวกันปีก่อนขาดทุน ซึ่งมาจากการปรับลดต้นทุน และการขายน้ำยางคุณภาพในราคาที่สูงขึ้น ขณะที่ราคาขายน้ำยาราคายังปรับตัวลดลง
ปิดท้ายที่หุ้นบริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ราคาหุ้นขยับจากสิ้นปี 2562 มาอยู่ที่ 3.94 บาท หรือเปลี่ยนแปลงเพิ่ม 40.71 %
ช่วงที่ผ่านมาบริษัทติดปัญหาไม่สามารถส่งออกสินค้าได้จากช่วงล็อกดาวน์ทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ต้องเลื่อนการส่งสินค้าออกไป แต่ความต้องการสั่งซื้อยังมีต่อเนื่อง ในกลุ่มธุรกิจรถยนต์จากลูกค้าประเทศจีน จึงทำให้มีลุ้นตัวเลขกำไรไตรมาส 2 ที่จะออกมาดีกว่าตลาดคาด