SKY - ซื้อ

SKY - ซื้อ

คาด 2H20 ฟื้น หลังงานโครงการขนาดใหญ่ที่เริ่มกลับมา

ประเด็นสำคัญในการลงทุน :

  • ผลประกอบการ 2Q20 ฟื้นตัว QoQ แต่ยังชะลอตัว YoY

บริษัทรายงานผลประกอบการ 2Q20 มีรายได้จากการดำเนินงานที่ระดับ 760.1 ล้านบาท เติบโต +5.7%QoQ จากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้น ตามการขยายตลาดสู่ภาคเอกชนมากขึ้น โดยสินค้าหลัก ได้แก่ อุปกรณ์สำหรับระบบควบคุมการเข้าออก Controlled Access Security System (CASS) ระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) และ อุปกรณ์โครงข่าย IP Access Network ด้านอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 18.1% ปรับตัวลงเล็กน้อยจาก 18.7% ใน 1Q20 ตามต้นทุนโครงการที่รับรู้ แต่หากเทียบกับ 2Q19 อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจาก 12.5% เนื่องจากมีการขายสินค้าให้ภาคเอกชน และการให้บริการบำรุงดูแลรักษางานโครงการต่าง ๆมากขึ้น ในส่วนของสัดส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อรายได้อยู่ที่ระดับ 13.6% เพิ่มขึ้นจาก 11.0% ใน 1Q20 ตามสัดส่วนการรับรู้รายได้งานโครงการ แต่หากเทียบกับ 1Q19 สัดส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อรายได้รวมปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 7.6% หลังการควบรวมพนักงานบริษัท เรย์เทล จำกัด และการเพิ่มพนักงานเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ ส่งผลให้งวด 2Q20 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 25.6 ล้านบาท เติบโต +32.5%QoQ แต่ลดลง -49.7%YoYโดยกำไรสุทธิ 1H20 คิดเป็น 16.2% ของประมาณการทั้งปีของเรา เนื่องจากบริษัทมีการรับรู้รายได้เป็นลักษณะงานโครงการ จึงไม่สามารถส่งมอบงานได้ในช่วง Lockdown

  • คาดผลประกอบการ 2H20 เริ่มฟื้นตัว และเติบโตต่อเนื่องในปี 21

ผลประกอบการ 2H20 มีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น ตามสถานการณ์โควิด-19 ที่มีทิศทางดีขึ้น ตามคาดว่าการลงทุนของภาครัฐและเอกชนจะเริ่มทยอยกลับมา โดยเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา บริษัทได้ลงนามในสัญญาโครงการให้บริการระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง  กับ AOT  มูลค่าโครงการทั้งสิ้น 8.6 พันล้านบาท ซึ่งจะบันทึกรายได้เข้ามาตั้งแต่ 1 ต.ค.63โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 10 ปี

ประกอบกับเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา บอร์ดมีมติอนุมัติการเข้าลงทุนในบริษัท เอสเอแอล กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (SAL) ในสัดส่วน 46.80% มูลค่ารวม 212.1 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบัน SKY เป็นผู้ถือหุ้นร่วมกับ AOT ใน บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด (AOTGA) ผ่านการลงทุนใน SAL เพื่อต่อยอดธุรกิจในอุตสาหกรรมการบิน

นอกจากนั้นในช่วง 4Q20 บริษัทเตรียมที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Smart Security Platform ซึ่งจะยิ่งสนับสนุนให้บริษัทมีรายได้จากการขายเติบโตต่อเนื่อง เราคงประมาณรายได้จากการดำเนินงานปี 20-21 ที่ระดับ 4,316.2 ล้านบาท และ 5,140.0 ล้านบาท เติบโต +9.0%YoY และ +19.1%YoY และคงประมาณการกำไรสุทธิปี 20-21 ที่ 272.3 ล้านบาท และ 317.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +24.6%YoY และ +16.7%YoY ตามลำดับ

  • เพิ่มทุนรองรับการขยายธุรกิจในระยะยาว

13 ก.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนไม่เกิน 40 ล้านหุ้น (คิดเป็น 7.1%ของจำนวนหุ้นทั้งหมดในปัจจุบัน) ให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) คือ นายวรพจน์ อำนวยพล ปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท โดยเสนอขายที่ราคาหุ้นละ 13.194 บาท คิดเป็นมูลค่า 527.76 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้นายวรพจน์ เข้ามาถือหุ้นในบริษัทเพิ่มเป็น  27.68% (ไม่รวมหุ้นปันผลที่จะพึงได้รับในฐานะผู้ถือหุ้นเดิม) จากเดิม 23.41% (รวมที่ถือในนามของ Custodian อื่น ได้แก่ LGT BANK (SINGAPORE) LTD , CITI (NOMINEES) LIMITED-S.A PBG CLIENTS SG , CITI (NOMINEES) LIMITED-PBG CLIENTS H.K. และ UBS AG SINGAPORE BRANCH ) ซึ่งบริษัทคาดว่าจะนำเงินที่ได้รับเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสําหรับโครงการให้บริการระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่องของ AOT และเพื่อรองรับการขยายธุรกิจ เช่น งานประมูลของภาครัฐ และภาคเอกชน ใน Pipeline ของบริษัท

  • ปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 21 ที่ 60 พร้อมปรับคำแนะนำเป็น ซื้อ

แม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เรามองว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ประกอบกับงานโครงการขนาดใหญ่ที่เริ่มกลับมา พร้อมกับการร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่ม King Power และกลุ่มเมืองไทยประกันภัยที่จะช่วยต่อยอดการเติบโตในอนาคต เราประเมินราคาเหมาะสมอิงค่าเฉลี่ย PER +1SD  ของหุ้นกลุ่ม ICT ย้อนหลัง 3 ปีที่ 30 เท่า ใช้ EPS Fully Diluted (รวมจ่ายหุ้นปันผลและ PP 40 ล้านหุ้น) พร้อมปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 21 ที่ 15.60 บาท ยังมี Upside อีกราว 20.9% จึงปรับคำแนะนำจาก ซื้อเมื่ออ่อนตัวเป็น ซื้อ

ความเสี่ยง

  1. การพึ่งพิงลูกค้ารายใหญ่โดยเฉพาะภาครัฐ
  2. การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี

    3. การดำเนิงานโครงการและการส่งมอบงานล่าช้า