‘อีซี่มันนี่’ ยันศก.แค่ฝืดคาดทั้งปีนี้ยอดทรัพย์หลุดไม่เกิน7%

นายสิทธิวิชญ์ ตั้งธนาเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตั้งธนสิน จำกัด ผู้ให้บริการโรงรับจำนำอีซี่มันนี่  เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ในปีนี้ พบว่า ปัจจุบันยอดสินทรัพย์หลุดจำนำเพิ่มขึ้น โดยหากไม่รวมการไถ่ถอนทองคำจะอยู่ในระดับ 6% จากปีก่อนที่ 5% สะท้อนแค่ภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองเท่านั้นและคาดว่าทั้งปีนี้จะยังไม่เกิน7%ที่สะท้อนภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ ขณะที่ยอดไถ่ถอนทองคำมียอดเพิ่มขึ้นมาก จากราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

เราเชื่อมั่นว่า ภาวะเศรษฐกิจผ่านจุดสุดแล้วและค่อยๆฟื้นตัวขึ้น ปัจจุบันมีลูกค้าเข้ามาทั้งในส่วนของพนักงานประจำและผู้ประกอบการที่ขาดสภาพคล่อง ส่วนใหญ่นำทองคำและเพรชมาจำนำ โดยผู้ประกอบการนำเงินไปเสริมสภาพคล่องธุรกิจหรือคนทั่วไปนำเงินไปทำอาชีพฟู้ดเดลิเวอร์รี่ เป็นต้น ซึ่งยอดจำนำเพิ่มขึ้นไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจแย่เสมอไป

นายสิทธิวิชญ์ กล่าวต่อว่า ทางด้านยอดธุรกรรมการจำนำของ”อีซี่มันนี่”ในช่วงที่ผ่านมาของปีลดลงบ้างตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากสถานการณ์โควิด-19 เช่นกัน โดยในช่วงเดือนครึ่งแรกของปีนี้ (ม.ค.-มิ.ย.2563) มียอดธุรกรรมลดลง 20-30% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และคาดว่า ทั้งปีนี้น่าจะยังทรงตัวจากปีก่อน โดยหลังจากคลายล็อคหลังเดือน มิ.ย.เป็นต้นมา ยอดธุรกรรมดังกล่าวเริ่มกลับเข้าสู่ระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งบริษัทยังขยายระยะเวลาอายุสัญญารับจำนำจาก  5 เดือนเป็น 6 เดือน

ล่าสุด บริษัททุ่มเงิน20ล้านบาท ขยายช่องทางออนไลน์  เปิดตัวแอพพลิเคชั่น“Easy Smart” เพื่อช่วยในเรื่องการส่งดอกเบี้ยออนไลน์ สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคNew Normal  และลดค่าใช้จ่ายในการเดินให้กับลูกค้าปัจจุบันมียอดดาวน์โหลกว่า 60,000 ราย พร้อมกับเปิดตัว Brand Ambassador เป็นรายแรกของธุรกิจโรงรับจำนำอีกด้วย 

พร้อมกับในช่วงที่เหลือปีนี้จะขยายสาขาเพิ่มอีก2แห่ง เป็น56แห่งในสิ้นปีนี้จากปัจจุบัน มีทั้งสิ้น 54  สาขา  และร้าน Easy Money Shop ร้านขายสินค้ามือสองจำนวน 2 ร้าน และครอบคลุมพื้นที่เป็น 31 จังหวัดจากปัจจุบัน 30 จังหวัดในทุกภูมิภาค 

ปัจจุบันบริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนเฉลี่ย 2,000 ล้านบาท และมีรายได้หลักมาจากรายได้ดอกเบี้ย ยังอยู่ในสัดส่วนที่สูงจากยอดไถ่ถอนทองคำที่เพิ่มขึ้น มากกว่าการขายทรัพย์หลุดจำนำตามปกติ ส่วนฐานลูกค้ามีหลักแสนราย สัดส่วน75% เป็นคนทั่วไปและอีก25%เป็นผู้ประกอบการ ระดับเอสเอ็มอี เป็นส่วนใหญ่ มียอดจำนำเฉลี่ยยังทรงตัวจากปีก่อน โดยคนทั่วไปอยู่ที่20,000 บาท และผู้ประกอบการอยู่ที่ 100,000 บาท

อย่างไรก็ดีภาพธุรกิจที่เริ่มไปฟื้นตัวขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจที่ค่อยๆฟื้นตัวขึ้น ผู้ประกอบการที่กลับมาเปิดธุรกิจได้อีกครั้งก็ต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้น คนทำงานประจำที่ได้กลับมาทำงานก็ต้องการเงินไปเตรียมพร้อมในเรื่องต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลได้สนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวภายในประเทศ และสถานที่ท่องเที่ยวรอบๆกรุงเทพฯก็ได้รับผลดีไปก่อน

ดังนั้น จึงอยากให้ภาครัฐ มีมาตรการช่วยเหลือกระจายไปยังจังหวัดอื่นๆเพิ่มขึ้นด้วย และขอให้ช่วยขยายวงเงินหน้าตั๋วจำนำ จากไม่เกิน100,000บาทต่อใบ เป็นไม่เกิน2-3ล้านบาทต่อปี เนื่องจากสถานการณ์และราคาทรัพยสินเปลี่ยนแปลงไปมากจากเมื่อกำหนดเป็นกฎหมายในอดีตและช่วงโควิด-19 มีความเหมาะสมที่จะเร่งปรับปรุงกฎหมาย เพื่อช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มอีมีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นได้อีกทางหนึ่งด้วย