SCGPเดินหน้าลงทุนอาเซียน เทรดวันแรก 35 บาทเท่าจอง
SCGP ปิดเทรดวันแรก 35 บาท เท่าราคาจอง วอลุ่มทะลัก 1.1 หมื่นล้าน มั่นใจหลังเข้าตลาดยอดขายโตปีละ 7% เตรียมใช้เงินไอพีโอ 1 หมื่นล้านคืนหนี้ ลดอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยเหลือ 0.5 เท่า เดินหน้าลงทุนอาเซียน
ราคาหุ้นบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งแรกวานนี้ (22 ต.ค.) เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยราคาเปิดที่ 37 บาท เพิ่มขึ้นจากราคาจอง 2 บาท หรือ 5.17% หลังจากนั้นมีแรงขายออกมาสลับแรงซื้อที่เข้ามาเป็นระยะ โดยราคาสูงสุดที่ 37.25 บาท ต่ำสุดที่ 35 บาท และปิดตลาดที่ 35 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 11,855 ล้านบาท
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ [บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม SCGP กล่าวว่า พอใจระดับหนึ่งสำหรับการเข้าเทรดวันแรก แม้ราคาหุ้นจะไม่วิ่งตามที่คาด แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากบรรยากาศการลงทุนช่วงนี้ไม่ดี จากปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศที่เข้ามากดดัน
ส่วนที่นักลงทุนบางส่วนขายหุ้น SCGP ออกไปนั้นเพื่อต้องการถือเงินสด แต่เชื่อว่าหลังจากนี้กลุ่มนักลงทุนสถาบันที่รอจังหวะเข้ามาซื้อหรือเก็บหุ้นเพิ่มเติม เพราะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีแนวโน้มการเติบโตดีตามตลาดบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนที่ยังมีศักยภาพเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
“หุ้น SCGP เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งจะเน้นการเติบโตแบบยั่งยืนมากกว่า โดยการเข้ามาเทรดในสภาวะตลาดแบบนี้ ก็อยากให้นักลงทุนมั่นใจและดูกันยาวๆ”
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น SCGP กล่าวว่า หลังปิดการเข้าซื้อขายวันแรกคาดว่า SCGP จะเข้าข่ายเป็นหลักทรัพย์ที่ถูกคำนวณในดัชนี SET 50 ตามเกณฑ์ Fast Track ของตลาดหลักทรัพย์ฯ นอกจากนี้ SCGP ยังมีโอกาสสูงที่จะได้รับการเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Index ในรอบคำนวณใหม่วันที่ 10 พ.ย.นี้ เนื่องจากเข้าคุณสมบัติที่กำหนดทั้งเกณฑ์มาร์เก็ตแคปและอัตราส่วนสภาพคล่องของหุ้น
นายกุลเชฏฐ์ ธาราจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน SCGP กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ประมาณ 39,464.25 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมกับการจัดสรรหุ้นส่วนเกินจำนวน 169.13 ล้านหุ้น แต่หากนับรวมจะมีมูลค่าประมาณ 45,000 ล้านบาท บริษัทได้นำเงินที่ได้จากการระดมทุนไอพีโอประมาณ 10,000 ล้านบาท คืนหนี้สถาบันการเงิน ซึ่งส่งผลให้อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยของบริษัทจะลดลงเหลือ 0.5 เท่าจากเดิมที่อยู่ในระดับ 0.9 เท่า ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีภาระหนี้ 50,000 ล้านบาท และมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยราว 2%
ขณะที่เงินจากไอพีโออีกประมาณ 27,000 ล้านบาท บริษัทจะนำไปในการขยายกิจการตามแผนของบริษัท โดยหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อเข้าลงทุนซื้อกิจการบริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ลูกฟูกในเวียดนาม ซึ่งคาดจะสามารถเจรจาปิดดีลการเข้าซื้อได้ภายในช่วงสิ้นปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทกำลังศึกษาหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ประเภทขวดแก้ว,ฟิล์ม และบรรจุภัณฑ์จาก PET เพิ่มเติมอีกด้วย
อย่างไรก็ตามเงินที่ได้จากไอพีโอนั้นเพียงพอต่อการลงทุนในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เพราะยังมีกระแสเงินสดที่เข้ามาแต่ละปีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หากในอนาคตบริษัทต้องการใช้เงินทุนเพิ่มเติมก็ยังมีศักยภาพในการกู้เงินได้อีก แต่เบื้องต้นจะใช้เงินทุนจากการระดมทุนไอพีโอเป็นหลักก่อน
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายภายหลังจากการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯจะเติบโตไม่ต่ำกว่าในอดีตที่ทำได้ระดับ 6-7% ต่อปี เนื่องจากบริษัทมีการปรับโมเดลธุรกิจให้แข็งแกร่งและคาดว่ายอดขายหลังจากนี้ จะโตไม่น้อยกว่าเดิมแน่นอน
“เป็นก้าวสำคัญของ SCGP สู่การเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ มีฐานะการเงินที่เข้มแข็งขึ้น”
นายวิชาญ กล่าวว่า ในปี 2563-2564 บริษัทได้เตรียมลงทุนขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวในประเทศเวียดนามและไทย รวมถึงขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ โดยมีมูลค่าเงินลงทุนรวมประมาณ 8,200 ล้านบาท