‘เอเจพลาสท์’เนื้อหอม! เข้าตา‘ปูนใหญ่’เติมเสน่ห์ดันราคาหุ้น
ถือเป็นข่าวดีสำหรับ บริษัท เอ.เจ.พลาสท์ จำกัด (มหาชน) หรือ AJ ที่ได้พันธมิตรบิ๊กเนมไซส์เบิ้มอย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เข้ามาร่วมถือหุ้น
พร้อมจับมือเดินหน้ารุกธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่กำลังเติบโตอย่างร้อนแรง กลายเป็นสตอรี่ใหม่ช่วยเสริมเสน่ห์ให้กับราคาหุ้น โดย SCC ได้ส่งบริษัทลูก บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงใน AJ ทั้งหมด 40.56 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 9.22% ที่ราคาหุ้นละ 17.15 บาท ใช้เงินลงทุนไปราว 696 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ยังได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ ทุนจดทะเบียน 700 ล้านบาท โดยเอสซีจี เคมิคอลส์ จะถือหุ้น 45% และ AJ ถือหุ้นอีก 55% เพื่อผลิตและจำหน่ายฟิล์ม Biaxially Oriented (BO Film) ในประเทศเวียดนาม รองรับการเติบโตของตลาดบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม
ดีลนี้ดูแล้ว “วิน-วิน” ทั้ง 2 ฝ่าย แต่ AJ น่าจะตอบรับเชิงบวกมากกว่า เพราะต้องยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปเข้าตากลุ่มปูนใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทเคมิคอลส์ชั้นนำของภูมิภาค นั่นหมายความว่าคุณต้องมีอะไรพิเศษจริงๆ ที่ทำให้ปูนใหญ่กล้าลงทุน
เชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ AJ สามารถเอาชนะใจปูนใหญ่ได้ คือ ความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำในการผลิตฟิล์มพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ทั้งฉลากน้ำดื่ม ห่อขนมขบเคี้ยว ห่อขนมปัง ฯลฯ โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมเกือบ 3 แสนตันต่อปี
ถือเป็นธุรกิจที่กำลังมาแรง เพราะตั้งแต่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องสุขอนามัยและความปลอดภัยทางอาหารมากขึ้น นอกจากนี้ ยังได้รับอานิสงส์จากตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด
หนุนให้ผลประกอบการของ AJ ขยายตัวต่อเนื่อง โดยครึ่งแรกปี 2563 บริษัทตุนรายได้เข้ากระเป๋าไปแล้ว 3,782.49 ล้านบาท เทียบกับปี 2562 ที่มีรายได้รวม 7,083.89 ล้านบาท แต่ที่โดดเด่นมากๆ เลย คือ กำไรสุทธิที่ปีนี้ AJ กวาดกำไรไปแล้วถึง 214.74 ล้านบาท เกือบเท่าปี 2562 ทั้งปีที่ 236.17 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากมองในแง่ธุรกิจประโยชน์ที่ AJ จะได้กับจากดีลนี้มีมากมาย ตั้งแต่การรับรู้ส่วนแบ่งรายได้กำไรจากบริษัทร่วมทุนใหม่ที่จะเข้าไปเจาะตลาดบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มในเวียดนาม ซึ่งเติบโตไม่แพ้ไทย เพราะเศรษฐกิจเวียดนามกำลังร้อนแรง การบริโภคภายในประเทศแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ เวียดนามเป็นอีกหนึ่งตลาดสำคัญของปูนซิเมนต์ไทย น่าจะทำให้ AJ สามารถเข้าไปต่อยอดธุรกิจจากฐานลูกค้าของปูนใหญ่ในเวียดนามได้ ซึ่งเวลานี้สามารถพูดได้เต็มปากว่า AJ ได้เข้ามาอยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกับปูนใหญ่แล้ว
โดยในฝั่งซัพพลายไม่ต้องกังวลว่าจะขาดแคลนวัตถุดิบ เพราะมีวัตถุดิบต้นน้ำในการผลิตแผ่นฟิล์มจากปูนใหญ่คอยซัพพอร์ต ส่วนฝั่งดีมานด์สามารถขายแผ่นฟิล์มให้กับกลุ่มธุรกิจแพคเกจจิ้งของปูนใหญ่เพื่อนำไปผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ต่อไป
และแน่นอนว่าการเข้าเป็นพันธมิตรกับปูนใหญ่ ทำให้ AJ มีเสน่ห์ขึ้น ซึ่งสุดท้ายจะสะท้อนกลับมาที่ราคาหุ้น การันตีได้จากหลายๆ บริษัท ที่ปูนใหญ่เข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ เช่น บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL ที่ปัจจุบันถือหุ้นอยู่กว่า 32% ผลประกอบการและราคาหุ้นเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด
สำหรับราคาหุ้นเพิ่มทุนที่ AJ ขายให้กลุ่มปูนใหญ่ 17.15 บาท แม้จะต่ำกว่าราคาในกระดาน แต่ไม่ได้ห่างกันมาก และยิ่งด้วยชื่อชั้นของปูนใหญ่ จึงไม่แปลกที่บรรดากูรูทุกสำนักมองว่าคุ้มค่า ดังนั้น จึงไม่น่ากังวลในประเด็นนี้
หันมาดูฝั่งปูนใหญ่กันบ้างว่าจะได้รับประโยชน์อะไรจากดีลนี้ แน่นอนว่าการลงทุนใน AJ ตรงกับกลยุทธ์ของกลุ่มปิโตรเคมีที่ต้องการขยายธุรกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำมากขึ้น เพื่อต่อยอดสายการผลิตครบวงจร ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ต้นน้ำ
นอกจากนี้ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์เป็นธุรกิจที่มีอนาคตมีการเติบโตสูง การได้ AJ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำแผ่นฟิล์มเข้ามาช่วยจะทำให้ธุรกิจแข็งแกร่งขึ้น เพราะต้องยอมรับแม้ว่าปูนใหญ่จะคร่ำหวอดในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่การผลิตแผ่นฟิล์มมีเทคโนโลยีเฉพาะ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นความปลอดภัยสูง ดังนั้น การได้ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงเข้ามาช่วย น่าจะเหมาะสมมากกว่าจะลงทุนเองทั้งหมด