เอกชนประเมินผลประโยชน์ไทย เดิมพันว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ
การนับคะแนนเลือกตั้งทั่วไปประธานาธิบดีสหรัฐ ระหว่าง “โดนัล ทรัมป์” กับ “โจ ไบเดน”หลังการลงคะแนนเมื่อ 3 พ.ย.เสร็จสิ้นแล้ว ที่เหลือจากนี้คือการลุ้นว่าใครจะเป็นผู้นำประเทศสหรัฐ มิตรประเทศหนึ่งของไทยที่ถือได้ว่ามีเดิมพันทางการค้าและเศรษฐกิจไว้ค่อนข้างสูง
กลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันหรือ กกร. เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร.ได้หารือถึงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยเห็นว่า จะส่งผลต่อนโยบายการค้าและการลงทุนที่เปลี่ยนไป ซึ่งมีผลทั้งด้านบวกและลบ
โดยหากโจ ไบเดน ได้รับการเลือกตั้ง จะส่งผลให้นโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐกับคู่ค้ามีแนวโน้มกลับมาผ่อนคลายมากขึ้น และจะมีแนวโน้มเร่งการทำเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี(FTA) รวมทั้งจะกลับเข้ามามีบทบาทในองค์การการค้าโลก(WTO)มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐจะกลับเข้าสู่เวทีการเจรจาหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (CPTPP) ซึ่งเป็นนโยบายเดิมของพรรคเดโมเเครต ดังนั้นหากไทยไม่เร่งเข้าเป็นสมาชิกอาจตกขบวนการค้าโลกแน่นอน
ในทางกลับกันหากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ก็จะใช้นโยบายการกีดกันทางการค้า และสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐจะดำเนินการต่อเนื่อง ล่าสุดสหรัฐก็ตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร(GSP) โดยอ้างการไม่เปิดตลาดหมู ดังนั้นเอกชนไทยจะต้องพึ่งตัวเองให้มากขึ้น
“ไทยก็เป็นประเทศที่ป้อนสินค้าต่าง ๆ รายใหญ่อยู่แล้ว ทั้งรถยนต์ อาหาร และสินค้าอื่น ๆ ดังนั้นสหรัฐต้องการจุดนี้ด้วย อย่างไรก็ตามภาคเอกชนเห็นว่าโจ ไบเดน น่าจะดีว่านายทรัมป์ เพราะจะส่งดีต่อเศรษฐกิจไทย”
อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังเป็นประเทศที่เป็น “สปอร์ตไลท์” ของสหรัฐอยู่ไม่ว่าใครจะชนะการเลือกตั้ง เพราะไทยถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สหรัฐสามารถเข้ามาทำธุรกิจและส่งสินค้าไปจีนก็เป็นไปได้ แต่จะให้ทำการติดต่อกับจีนโดยตรงคงไม่สะดวกนับเป็นจุดแข็งที่สำคัญของไทย
สุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) กล่าวว่า ทั้ง 2 คนเน้นผลประโยชน์ของสหรัฐเป็นหลัก โดยโจ ไบเดน เน้นการเจรจามาก ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ เน้นนโยบายอเมริกันเฟิร์ส อย่างไรก็ตามหากโจ ไบเดน ได้รับเลือกตั้ังเรื่องของสงครามการค้าน่าจะดีขึ้น แต่เรื่องของสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม มาตรการด้านพลังงานสะอาดก็จะกลับมาสู่ภาคการค้า ซึ่งไทยจะต้องเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการค้าในลักษณะนี้
"ในส่วนของการลงทุนเห็นว่า นักลงทุนทั่วโลกเริ่มมาลงทุนในประเทศกลุ่มอาเซียนมากขึ้น ซึ่งอาเซียนถือเป็นพื้นที่เซฟโซน ที่หลายประเทศสนใจเข้ามาลงทุนมากกว่าจีนไม่เว้นแม้แต่สหรัฐเพื่อเปิดตลาดการค้าดังนั้นไม่ว่าใครมาทั้ง 2 คนก็สนใจที่จะเข้ามาลงทุนในอาเซียนอยู่แล้ว"
ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐจะรุนแรงขึ้นหากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง ซึ่งผลกระทบกับไทยเห็นได้จากกรณีที่สหรัฐตัดGSPจากการที่ไทย ไม่ยอมเปิดตลาดนำเข้าหมูให้สหรัฐ และ อนาคตสหรัฐ จะเพิ่มแรงกดดันให้ประเทศคู่ค้า เปิดตลาดนำเข้าสินค้าสหรัฐมากขึ้น
ทั้งนี้ ทางรัฐบาลไทย และ ภาคเอกชนจะต้องทำประสานกัน เพื่อไปหารือกับทางการสหรัฐ โดยเฉพาะการให้ข้อมูลกับทางสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR ) จะมีความสำคัญมาก เพื่อให้ไทยสามารถรักษาฐานการส่งออกในสหรัฐไว้ได้ ขณะเดียวกันการให้หอการค้าอเมริกันในไทย( American Chamber of Commerce )ได้ทำงานใกล้ชิดกับกกร. มากขึ้น จะเป็นกลไกให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสองประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความเข้าใจกันอย่างต่อเนื่อง
พิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจมหภาค กระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทรัมป์ไม่ต้องการนำสหรัฐเข้าร่วมในCPTPPแต่หากไบเดนชนะการเลือกตั้ง ก็อาจดึงสหรัฐเข้าร่วมในข้อตกลงนี้ และอาจส่งผลกระทบต่อไทย หากไทยไม่เข้าร่วมใน Trade Block นี้ด้วย ก็จะทำให้เงินลงทุนอาจไหลเข้าไปในประเทศที่เป็นสมาชิกCPTPP เช่น เวียดนาม ในแง่ตลาดทุน หากทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง อาจจะช่วยสนับสนุนตลาดทุน เพราะทรัมป์มีนโยบายภาษีต่ำ ส่วนไบเดนต้องการขึ้นภาษี ซึ่งอาจทำให้การลงทุนไหลออกนอกสหรัฐ
มนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MBKET กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งสหรัฐไม่ว่าใครจะชนะหรือได้เป็นประธานาธิบดี ก็ต่างต้องเร่งมาตรการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ จะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดอีกจำนวนมาก สภาพคล่องสูงขึ้น ดอกเบี้ยต่ำลง ดอลลาร์อ่อนค่า และสกุลเงินในเอเชียรวมถึงไทยน่าจะขยับแข็งค่า เพราะตลาดเกิดใหม่และไทยยังเป็นตลาดที่นักลงทุนสนใจลงทุน ซึ่งไทยแม้โควิด-19กระทบจากการท่องเที่องเที่ยว แต่ต่างชาติเชื่อมั่นความปลอดภัยสามารถคุมการแพร่ระบาดได้ดี และยังมีมาตรการระมัดระวังความเสี่ยงต่อเนื่อง ทำให้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นที่จะฟื้นตัวได้
นริศ สถาผลเดชา ผู้บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี ธนาคารทหารไทย หรือ TMB Analytics กล่าวว่า หาก โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เชื่อว่าการเคลื่อนไหวของตลาดเงินอาจผันผวนมากขึ้น โดยเฉพาะค่าเงินบาทที่มีโอกาสอ่อนค่าได้ ใกล้เคียงกับสมัยที่ทรัมป์ ได้เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ที่ค่าเงินบาท อ่อนค่าไปที่กว่า 2% ภายใต้นโยบายลดภาษีกระตุ้นเศรษฐกิจ
“คาดว่านักลงทุนจะอยู่ในโหมด “Risk On” มากขึ้น และจะเห็นเงินไหลกลับไปที่สหรัฐมากขึ้น ซึ่งจะหนุนให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้ในระยะข้างหน้า อีกทั้งหากดูการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด น่าจะไม่เกินดุลมากนักในระยะข้างหน้า จากท่องเที่ยวที่ยังหดตัว”
ด้านผลกระทบเศรษฐกิจ เชื่อว่ามีค่อนข้างมาก จากการดำเนินนโยบายของทรัมป์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปนักหากเทียบกับช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นเชื่อว่า การค้าโลกอาจกลับมาทรุดตัวได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบมาสู่การค้าการลงทุนของไทยในระยะข้างหน้าด้วย