หุ้นโรงไฟฟ้ารีเทิร์น ราคาบวกลุ้นกำไรฟื้นตัว
ตลาดหุ้นไทยสุดคึกคักวานนี้ (10 พ.ย.) ดันดัชนีรวดเดียวทะลุ 1,300 จุด บวกไปถึง 52 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นระดับแสนล้านบาท
การันตรีได้ถึงปริมาณเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอีกครั้งหลังข่าวบวกเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และวัคซีนโควิด-19 มีประสิทธิภาพดีจนมีความหวังเริ่มมาใช้กับคนได้ในเร็วๆนี้
นาทีนี้หุ้นขนาดใหญ่เป็นวัฎจักรเศรษฐกิจกลับขึ้นมาอยู่ในพอร์ตลงทุนอีกครั้ง จากก่อนหน้านี้ราคาหุ้นในหลายกลุ่มเจอกระหน่ำเทขายจนราคาร่วงต่ำ อัตรากำไรต่อราคาหุ้น (P/E) ถูกแสนถูก แต่นักลงทุนยังไม่ให้น้ำหนักที่จะซื้อลงทุน จากความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่กดดันผลดำเนินงาน
กลุ่มหุ้นไฟฟ้าที่มักจะถูกนิยามเป็นหุ้นปลอดภัยชั้นดี เป็นเสมือนหลุมหลบภัยยามเจอภาวะดัชนีปรับตัวลดลงแรง ไม่สามารถรอดพ้นจากผลดระทบดังกล่าวไปได้ สะท้อนได้จากผลการดำเนินงานที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรก 2563
ประเด็นหลักมาจากการล็อกดาวน์ในประเทศ จนภาคธุรกิจที่เป็นลูกค้าหยุดดำเนินกิจการทำให้ปริมาณขายไฟลดลง ผลกระทบจากค่าเงินบาทในโครงการต่างประเทศ ต้นทุนราคาก๊าซที่เพิ่มสูงขึ้น ตามวิกฤติราคาน้ำมันในช่วงก่อนหน้านี้
บวกกับบางบริษัทชะลอแผนลงทุนหรือไม่ก็ทบทวนเพราะยังต้องรอดูสถานการณ์การแพร่ระบาดรอบ 2 ที่รุนแรงในเอเชีย ตามมาด้วยยุโรปและสหรัฐ กลายเป็นรักษาสภาพคล่องเก็บเงินสดเพื่อรองรับวิกฤติที่อาจจะเกิดขึ้น จนมีการเพิ่มทุนและขายโครงการที่มีอยู่เพื่อรักษาเงินสดเอาไว้
รายใหญ่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอจี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ที่ยังโชว์เดินหน้าลงทุนต่อเนื่องแต่ก็ต้องมีการเพิ่มทุนใหญ่ 1,066.65 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 30 บาท คิดเป็นมูลค่า 32,000 ล้านบาท ในช่วงก.ย.ที่ผ่านมา
บวกกับงบไตรมาส 1 ขาดทุน 413 ล้านบาท และกลับมามีกำไรไตรมาส 2 ที่ 1,900 ล้านบาท แต่ในงวด 6 เดือนกำไรยังลดลง 49 % มีผลมาจากยอดขายไฟฟ้าและน้ำให้กลุ่มลูกค้านิคมอุตสาหกรรมลดลง ราคาหุ้นในช่วงผ่านมาหลุดจากราคาเพิ่มทุนอยู่ที่ 28.50 บาท
อย่างไรก็ตามไตรมาส 3 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) กำไรจะกลับมาทำสถิติสูงสุดใหม่ 1300 ล้านบาท จากรายได้ขายไฟฟ้าฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติตั้งแต่เดือนก.ย. และต้นทุนก๊าซลดลง
สถานการณ์ บริษัท บี.กริม เพาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGIRM เช่นเดียวกันเพราะเป็นรายใหญ่ในกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มีลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรม (IU)ในมือจำนวนมาก ที่ไตรมาส 2 เจอผลกระทบกำไรลดลงจากไตรมาสก่อน บวกกับโครงการใหม่ยังไม่สามารถเดินหน้าได้จะไร้ปัจจัยบวก ราคาหุ้นลงไปลึก 39.25 บาท
ช่วงไตรมาส 3 บล.ทิสโก้ มองรายได้ทำสถิติสูงสุดใหม่จากต้นทุนก๊าซที่ลดลงเช่นกัน แต่ในส่วนของกำไรได้รับผลกระทบค่าเงินบาทคาดขาดทุนเกือบ 300 ล้านบาท ทำให้กำไรมาอยู่ที่ 493 ล้านบาท ลดลง 35 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน
มาถึงบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ที่บล.หยวนต้า ยังให้กำไรไตรมาส 3 ลดลง 34 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 1,155 ล้านบาท สาเหตุสำคัญอยู่ที่ ค่าใช้จ่ายบริหารเพิ่มขึ้น และพายุที่เข้ามาทำให้กระแสลมได้รับผลกระทบ
ด้วยธุรกิจยานยนต์มีความคืบหน้าในการส่งมอบภายในสิ้นปีนี้ และโรงงานแบตเตอรี่ 1 กิกะวัตต์ เดินหน้าต่อทำให้คาดเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2564 ปิดท้ายที่บริษัท กัณกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ที่กำไรไตรมาส 2 ลดลงชัดเจนอยู่ที่ 279 ล้านบาท ลดลง 36 %
ช่วงไตรมาส 3 บริษัทได้ขายโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ญี่ปุ่น ขนาด 66.78 เมกะวัตต์ 1,750 ล้านบาท และมีกำไรจากการขายในครั้งนี้ประมาณ 715 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นเม็ดเงินก้อนใหญ่ที่จะเข้ามาบันทึกเป็นรายการพิเศษ บล.หยวนต้าคาดกำไรอยู่ที่ 600-700 ล้านบาท เติบโตเท่าตัวจากไตรมาสก่อน
ส่วนบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ที่รายงานกำไรไตรมาส 3 ออกมาบวก 187 % จากช่วงเดียว เรียกได้ว่ากลุ่มนี้ในครึ่งปีหลังสามารถกลับมาโชว์ตัวเลขกำไรฟื้นตัวและราคาหุ้นที่กลับมาขาขึ้นได้อีกครั้ง