จี้การเงินออกมาตรการเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างการทำงบประมาณปี 2565 ซึ่งเท่าที่หารือ นโยบายต่างๆที่จะออกมา ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะผลกระทบโควิด-19 ทำให้มีผลกระทบมาก ดังนั้นงบประมาณที่ลงมา ยังต้องเป็นการกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ
สำหรับมาตรการด้านการเงิน อาจต้องดูแลมากกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะสั้น ซึ่งคลังดูทั้ง สั้น กลาง และระยะยาว มาตรการด้านการเงินก็ต้องดู ซึ่งวันนี้หากการเคลื่อนไหวในตลาดหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็มีผลกระทบทำให้เงินบาทแข็งค่า ล่าสุดธปท.มีการออกมาตรการออกมา2-3 เรื่อง เพื่อดูแลค่าเงินบาท และตลาดหุ้น แต่สิ่งที่สะท้อน ความมั่นใจของนักลงทุนจากต่างประเทศ หรือนักวิเคราะห์เศรษฐกิจต่างประเทศยังมองว่า เศรษฐกิจไทยนั้นยังไปได้ พื้นฐานเศรษฐกิจยังดี
คาดเศรษฐกิจปกติปี65
สำหรับภาพเศรษฐกิจไทย หากดูเดือนต่อเดือน ปัจจุบัน เริ่มดีขึ้น ไม่ว่าดัชนีความเชื่อมั่น การใช้จ่ายต่างๆ ที่ออกมาดี ส่งผลให้เศรษฐกิจไตรมาส 3 ติดลบที่ 6.4% ซึ่งดีกว่าคาดการณ์ไว้เดิม
แต่หากดูไตรมาสต่อไตรมาส จากจีดีพีที่ปรับฤดูกาลแล้ว เป็นบวก 6.5% ซึ่งสิ่งที่สบายใจ คือเศรษฐกิจฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดแล้ว ซึ่งถือว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว แต่อาจไม่ก้าวกระโดด อาจช้า เพราะเศรษฐกิจไทยมีการพึ่งพาการท่องเที่ยวถึง 12% ของจีดีพี
ทั้งนี้หากดูช่วงที่เหลือของปีนี้ เศรษฐกิจไทยยังติดลบอยู่ เพราะกำลังซื้อเดียว ยังมาจากภาครัฐ และนโยบายภาครัฐที่เข้ามาช่วย ผ่านโครงการต่างๆ เพื่อดูแลประชาชนทุกกลุ่ม ผ่านพ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ทั้งคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน ซึ่งหากสถานการณ์ปกติ ไม่มีโควิด-19 คาดว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ 3% แต่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน คาดว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะติดลบราว 6%
“เศรษฐกิจวันนี้เรามีแก็ป หรือช่องว่าง อยู่ราว 9% กว่าที่เศรษฐกิจไทยจะกลับเข้าไปสู่ภาวะปกติ ได้ในปี 2565 ซึ่งต้องใช้เวลา 2 ปี หากมองทิศทางเศรษฐกิจระยะข้างหน้า ปี 2564 คาดเศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ 4% แต่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ 100%”
เร่งช่วยสภาพคล่องท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม ในมุมของเศรษฐกิจไทยจะฟื้นอย่างไร เมื่อยังมีผลกระทบจากด้านท่องเที่ยว ที่ยังต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ดังนั้นยังมีจำเป็นที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ ซึ่งวันนี้เรามีพ.ร.ก.เงินกู้ ที่ให้ธนาคารออมสิน ปล่อยกู้กับธนาคารพาณิชย์เพื่อปล่อยกู้ต่อ ดอกเบี้ย 2% และอยู่ระหว่างการพิจารณา คือการเข้าไปช่วยเหลือธุรกิจสายการบินที่ขาดสภาพคล่อง ซึ่งเราไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่อยู่ระหว่างการพิจารณารูปแบบในการเข้าไปช่วยเหลือ ที่ยังเป็นประเด็นต่อเนื่องไปถึงปี 2564
“อยากให้กำลังใจ ปีนี้เราลำบากกันหน่อย แต่ปีหน้า ก็น่าจะดีขึ้น จากที่เราดูตัวเลขเศรษฐกิจ กว่าจะฟื้นตัวบางคนบอกว่าอาจฟื้นตัวต้องใช้ระยะเวลากว่า 2 ปี เพื่อปิดแก็ป 9% ตรงนี้ได้ หากปีหน้าเศรษฐกิจขยายตัว 4% และปี 65 ขยายตัวอีก 4% เศรษฐกิจก็สามารถเข้าสู่ภาวะปกติได้ ตอนปี 40 เศรษฐกิจเราหัวทิ่มลง แต่มารอบนี้ เราอาจจะหกล้มในทางลาด บางคนอาจเจ็บมีบาดแผล บางคนอาจลุกได้ทันที การปรับตัวช้าหน่อยแต่ก็มั่นคง”
เร่งคนละครึ่งเฟส2
นายอาคม กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณาโครงการคนละครึ่งเฟส 2 ซึ่งจะพิจารณาทั้งวงเงินงบประมาณ และสิทธิ์ผู้ที่จะได้รับ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนให้ได้มากที่สุด ซึ่งในเบื้องต้น ผู้ที่ได้รับสิทธิเดิมอาจไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ เพราะกระทรวงการคลังมีฐานข้อมูลอยู่แล้ว ซึ่งจะง่ายต่อการใช้สิทธิต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม โครงการคนละครึ่ง ถือเป็นส่วนหนึ่งของการให้ของขวัญให้กับประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ เช่นเดียวกันกับการเพิ่มวงเงินให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จากปัจจุบันที่ได้รับวงเงินเพิ่ม 500 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ขณะเดียวกันจะมีมาตรการอื่นๆด้วย ซึ่งจะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้
เดินหน้าลงทุนภาครัฐ
สำหรับการลงทุนในระยะข้างหน้า ที่ภาครัฐและเอกชนต้องลงทุนต่อเนื่อง เช่นโครงสร้างพื้นฐาน ที่ทำต่อเนื่องจาก 5-6 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะคมนาคม ที่ถือเป็นแกนหลักของภาครัฐและลงทุนด้านพลังงาน โดยเฉพาะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นนโยบายที่จะส่งเสริม เช่น รถยนต์ไฟฟ้า รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง รถยนต์ยูโร 5 เหล่านี้ คือ แอเรียหนึ่งที่เป็นแนวโน้มของปี 2563-2564 เป็นต้นไป ที่ประเทศต้องให้ความสำคัญกับด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะนอกจากผลกระทบโควิด-19 ประเทศไทยยังเผชิญกับปัญหา PM 2.5 ที่จะรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นนโยบายต่างๆต้องจูงใจ ไปสู่โครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
อีกด้านคือ เฮลธ์แคร์ เป็นอีกแอเรียที่รัฐฯควรสนับสนุน รวมไปถึงดิจิทัล ที่จะมีอิทธิพลมากขึ้น และเป็นแอเรียที่มีอนาคต
สำหรับโครงการภาครัฐ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบางโครงการ อาจทำเป็นโครงการ PPP หรือโครงการร่วมภาครัฐและเอกชน ในการทำโครงสร้างพื้นฐานในอนาคต เพื่อลดภาระภาครัฐ คล้ายกับโครงการในอดีต คือไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ ที่จะลดภาระรัฐบาลได้ เพื่อดูแลระดับของหนี้สาธารณะของภาครัฐไม่ให้เกิน 60% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ระดับ 49%
รวมไปถึงการปฏิรูปโครงสร้างภาษี การให้สิทธิพิเศษ จากการหักลดหย่อนภาษี เพื่อจูงใจให้คนเข้ามาสู่ระบบ และชำระภาษีได้มากขึ้น และที่อยู่ระหว่างการพิจารณาบางด้านที่ต้องทำมากขึ้น คือให้สิทธิประโยชน์กับธุรกิจเพื่อเอื้อให้ธุรกิจเกิดขึ้น เช่นรถไฟฟ้า ที่อยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งจะช่วยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าได้
รับลูกนายกฯดูแลเศรษฐกิจเพิ่ม
ด้านนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ว่า ล่าสุด นายกรัฐมนตรี ได้มีการมอบหมาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เร่งดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศให้ฟื้นตัวต่อเนื่อง
โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง ที่นายกรัฐมนตรีอยากให้ครอบคลุมประชาชนที่ต้องการสิทธิมากขึ้น ดังนั้นจึงอยู่ระหว่างการพิจารณาโครงการคนละครึ่งเฟส 2 ว่าการขยายสิทธิจะครอบคลุมประชาชนเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน รวมถึงวงเงินการใช้จ่ายว่าอยู่ที่เท่าไหร่ ซึ่งได้มีการให้ธนาคารกรุงไทย เข้าไปดูยอดลงทะเบียนคนละครึ่งที่ผ่านมา เพื่อให้ทราบถึงจำนวนคนที่เข้ามาในระบบ เพื่อใช้ประเมินสิทธิที่จะให้ในเฟส 2เพิ่มเติม
จ่อเพิ่มคนละครึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากในเฟส 2 มีการเพิ่มวงเงินการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น มากกว่าเฟสแรก ส่วนนี้รัฐบาลก็จะมีการเพิ่มวงเงิน หรือท็อปอัพให้คนที่ได้คนละครึ่งเฟสแรกอัตโนมัติ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันด้วย อีกทั้งต้องพิจารณาขยายระยะเวลาการใช้จ่ายให้ยาวมากขึ้น ซึ่งอาจยาวไปถึงเทศกาลตรุษจีนปีหน้าด้วย ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปและเสนอคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19(ศบศ.) ได้ภายใต้ต้นธ.ค.นี้ ก่อนเสนอเข้าที่ประคุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ต่อไป
“ตอนนี้เราอยู่ระหว่างการไปศึกษาว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปจะมีอะไรบ้าง โดยเฉพาะคนละครึ่ง ที่นายกฯอยากให้ได้สิทธิครอบคลุมไปถึงคนที่อยากได้ด้วย เช่น อาจจะเพิ่มเป็น 14-15 ล้านคนก็ได้ ซึ่งสิทธิที่จะขยายเราได้ให้กรุงไทยไปเซอเวย์แล้ว ว่าคนเข้ามาลงทะเบียนที่ผ่านมามีมากน้อยแค่ไหน เพื่อใช้ประเมินสิทธิที่จะเพิ่มได้ รวมไปถึงวงเงินที่จะใช้ และวงเงินจากโครงการด้วยว่ามากน้อยแค่ไหนเหล่านี้เราอยู่ระหว่างการเร่งสรุป”
นอกจากนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการพิจารณา ในการเข้าไปช่วยเหลือด้านค่าครองชีพให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการรัฐเพิ่มเติมด้วย จากปัจจุบันที่กลุ่มนี้ได้เพิ่มเดือนละ 500 บาท ซึ่งเหล่านี้ก็ต้องพิจารณาร่วมกันด้วย
ส่วนงบประมาณที่ใช้ในโครงการเหล่านี้ เชื่อว่ามีเพียงพอ ในการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆของภาครัฐ จากงบพ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่เป็นงบฟื้นฟู 4 แสนล้านบาท ส่วนนี้กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะสามารถนำมาใช้ในโครงการเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน
นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง ยังได้สั่งการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เร่งจัดทำของขวัญปีใหม่ให้กับลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าที่ผ่อนชำระดีเพิ่มขึ้นด้วย คล้ายกับที่ผ่านมาที่ กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) มีการลดเงินต้นให้กับนักเรียน นักศึกษาที่ชำระหนี้ดี เป็นต้น