ฮาบิแททผนึกพันธมิตรลดเสี่ยง กางแผนปี64ลุยเจาะ‘นักลงทุน’
ฮาบิแทท กรุ๊ป พลิกเกม 360 องศา ดึงพันธมิตรกองทุนต่างประเทศ โรงพยาบาล แบรนด์โรงแรมสร้างจุดขายแตกต่างดึงลูกค้ากลุ่มนักลงทุน เผยแผนปีหน้าบุกคอนโดไฮไรส์ ลุยแนวราบระดับราคา 5-15 ล้าน ตั้งเป้ายอดโต 20% หลังปีนี้สวนกระแสตลาดทะลุ 2 พันล้าน
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อลงทุน กล่าวว่า สถานการณ์ธุรกิจอสังหาฯ โดยรวมได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 โดยเฉพาะโรงแรมที่ต้องหยุดการบริการ จากการปิดประเทศ (ล็อกดาวน์) คาดว่าต้องใช้เวลา 2-3 ปีกว่าธุรกิจจะฟื้นตัว ทำให้บริษัทต้องปรับตัวแบบ 360 องศา เพื่อความอยู่รอดในทุกด้าน มุ่งจับมือพันธมิตรทั้งที่เป็นกองทุนจากต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพ อาทิ โรงพยาบาลปิยะเวท เพื่อให้บริการกับลูกค้าที่ซื้ออสังหาฯ ในเครือฮาบิแทท กรุ๊ป รวมถึงแบรนด์บริหารโรงแรมระดับโลกที่จะมีเข้ามาลดความเสี่ยงและเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้น
“หลังโควิด-19 การแข่งขันในตลาดอสังหาฯ รุนแรงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องมุ่งพัฒนาโครงการที่แตกต่าง ทั้งเรื่องดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน และบริการที่เหนือกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะเทรนด์สุขภาพที่จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และความต้องการของผู้บริโภค”
ดังนั้น ในปี 2564 บริษัทจะพัฒนาโครงการอสังหาฯ เพื่อการลงทุนในรูปแบบของ Branded Residence ที่มี แบรนด์โรงแรมเข้ามาบริการตามมาตรฐานโรงแรมระดับโลก ในทำเลที่มีศักยภาพอย่างพัทยา เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้ที่คนกรุงเทพฯ สามารถขับรถไปได้ภายใน 1-2 ชั่วโมง และยังได้รับอานิสงส์จากการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของเขตเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี)ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น
สำหรับ การลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูงจำนวน 1-2 โครงการในพัทยา ทำเลวงศ์อมาตย์ ที่อยู่ในพัทยาโซนเหนือ หรือนาจอมเทียน ซึ่งจะมีกองทุนจากต่างประเทศ เข้ามาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งมีพื้นที่แปลงละ 5-10 ไร่ ขณะที่โครงการแนวราบ จะอยู่ในทำเล นาจอมเทียน ที่ผสมผสานการซื้อเพื่อลงทุนหรือซื้อเพื่ออยู่อาศัย ที่มีบริการเกี่ยวกับสุขภาพเข้ามา โดยมีระดับราคา 5-10 ล้านบาท ส่วนในกรุงเทพฯ อยู่ระหว่างการหาพื้นที่เหมาะสมเพื่อทำโครงการแนวราบในระดับราคา 5-15 ล้านบาทเน้นเซกเม้นท์กลาง-บนทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา
ในช่วงไตรมาสสองที่ผ่านมา บริษัทได้ขายที่ดินในโซนสุขุมวิทซอย 31 และ ซอย 8 จำนวน 2 แปลง คิดเป็นมูลค่า 900 ล้านบาทเพื่อมาพัฒนาโครงการแนวราบ ในทำเลรอบนอกพื้นที่ย่านใจธุรกิจทั้งนี้ เพื่อรองรับกับเรียลดีมานด์ที่ต้องการซื้อโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น แทนที่จะทำโครงการคอนโด ซึ่งอยู่ในภาวะโอเวอร์ซัพพลาย คาดว่าต้องใช้เวลา 2 ปีในการระบายสต็อก คาดว่าปีหน้ายอดขายเติบโต 20% จากปีนี้ที่มียอดขาย 2,000 ล้านบาท
นายชนินทร์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯ เพื่อการลงทุน คาดว่าจะเติบโตขึ้นต่อเนื่องปีละ 20-30% เนื่องจากการลงทุนในอสังหาฯ กลับมาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นหลังเกิดโควิด เพราะความเสี่ยงต่ำ แม้ว่าผลตอบแทนอาจจะไม่สูงเท่าการลงทุนในหุ้นแต่เป็นการสร้างรายได้สม่ำเสมอ (passive income) ให้กับผู้ลงทุน ขณะเดียวกันในระยะยาวยังจะให้ผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคาอสังหาฯ ที่เติบโตขึ้นอีกด้วย ประกอบกับเทรนด์การลงทุนในอสังหาฯ เริ่มเปลี่ยนไปจากการซื้ออสังหาฯ เพื่อปล่อยเช่าที่มีการแข่งขันสูงและแข่งตัดราคากันมาก มาเป็นการเลือกลงทุนในอสังหาฯ ที่ทำให้ผู้ลงทุนเป็นเหมือนเจ้าของโรงแรมและมีการบริหารจัดการด้วยมืออาชีพเพื่อสามารถสร้างรายได้ประจำในระยะยาวให้แก่นักลงทุนหรือผู้ซื้อ