“ยูเอ็น”จี้ไทยแก้ความหิวโหย พบสูง9%เกินเป้าโตยั่งยืน

“ยูเอ็น”จี้ไทยแก้ความหิวโหย  พบสูง9%เกินเป้าโตยั่งยืน

ประเทศไทยเป็นแหล่งเกษตรกรรมและกำลังจะวางบทบาทเป็นผู้ผลิตอาหารโลก หรือ ครัวโลก แต่ล่าสุดรายงานขององคการอาหารและเกษตรแหงสหประชาชาติ หรือ FAO เผยแพร่รายงานพบว่าประเทศไทยมีความหิวโหยสัดส่วนสูงถึง 9% ของประชากร

ทั้งนี้องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น กำหนดให้ประเทศที่มีระดับความอดอยากหิวโหยมากกว่า 5% จะต้องรายงานผลของตัวชี้วัด สัดส่วนของเนื้อที่เกษตรที่ทำการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ต่อเนื้อที่เกษตรทั้งหมด( SDGs 2.4.1 Proportion of Agricultural Area under Productive and Sustainable Agriculture )ภายในปี ค.ศ. 2030 ( พ.ศ. 2573 ) โดย ยูเอ็นตั้งเป้าลดจำนวนผู้อดอยากหิวโหยทั่วโลกให้เหลือ 5% ภายในปี 2025( พ.ศ. 2568) และ 3% ภายในปี 2030( พ.ศ. 2573)

       ฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ประเทศไทย มีความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาความอดอยากหิวโหย โดยพัฒนาพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม  สำหรับประเทศไทยที่ปัจจุบันมีจำนวนผู้อดอยากหิวโหยอยู่ที่ 9% จนเป็นที่มาต้องรายผลความก้าวหน้าในการพัฒนาพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน ตามตัวชี้วัด SDGs 2.4.1 ต่อ UN ภายในปี 2573 ซึ่งการรายงานผลของตัวชี้วัดนี้ดังกล่าว จะต้องรายงานในรูปแบบเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่เกษตรกรรมใน 3 รูปแบบ ได้แก่

  1. ไม่ยั่งยืน (Unsustainable: สีแดง) 2. ยอมรับได้ (Acceptable: สีเหลือง) และ 3. ยั่งยืน (Desirable: สีเขียว) ทั้งนี้ ภายหลังจากปี 2573 จะต้องรายงานต่อเนื่องทุกๆ 3 ปี

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืนตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 โดยได้ผลักดันการดำเนินงานตามตัวชี้วัด SDGs 2.4.1 สัดส่วนของเนื้อที่เกษตรที่ทำการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ต่อเนื้อที่เกษตรทั้งหมดของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2560 - 2563 มีการดำเนินการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนรวมทั้งสิ้น 4.38 ล้านไร่ 

160825352666

โดยปี 2560 โดยได้เพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนประมาณ 1.08 ล้านไร่ และดำเนินการเรื่อยมาจนในปี 2563 ได้เพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืนประมาณ 1.15 ล้านไร่  ล่าสุด สศก. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลโครงการระบบข้อมูลสารสนเทศความมั่นคงทางอาหารในภูมิภาคอาเซียน หรือ ASEAN Food Security Information System (AFSIS) Project ได้ร่วมกับ กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง (Ministry of Agriculture Forestry and Fisheries: MAFF) ประเทศญี่ปุ่น ดำเนินโครงการ Supporting Agricultural Survey on Promoting Sustainable Agriculture in ASEAN Region หรือโครงการ SAS-PSA โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก MAFFประเทศญี่ปุ่น เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการสำรวจการเกษตรแบบยั่งยืน ตามตัวชี้วัด SDGs 2.4.1 และใช้เป็นฐานข้อมูลให้แก่ภาครัฐ และผู้วางนโยบายด้านการเกษตร สู่การเป็นศูนย์กลางด้านข้อมูลสารสนเทศความมั่นคงทางอาหารของภูมิภาคอาเซียน

“ในปีนี้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และเป็นก้าวสำคัญ ที่สำนักงานเลขานุการ AFSIS ได้ร่วมกับ MAFF ประเทศญี่ปุ่น ดำเนินโครงการ SAS-PSA ซึ่งจะดำเนินการนำร่องสำรวจ (Pilot survey) ตัวชี้วัด SDGs 2.4.1 ตามระเบียบวิธีของ FAO และ ที่สำคัญ คือ จะเพิ่มข้อคำถามที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ในแบบสำรวจด้วย"

      โดยการสำรวจจะมีทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ มิติด้านสิ่งแวดล้อม และมิติด้านสังคม และจะดำเนินโครงการนำร่องสำรวจข้อมูลที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีการผลิตสินค้าเกษตรที่หลากหลาย ทั้งพืชไร่ พืชสวน ปศุสัตว์ และประมง และขยายผลการสำรวจเกษตรกรทั่วประเทศต่อไป

พลเชษฐ์ ตราโช รองเลขาธิการ สศก. กล่าวว่า สำหรับระยะเวลาดำเนินงานโครงการ SAS-PSA มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน (26 มี.ค. 2563 – 25 พ.ย. 2565) ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินงาน (The 18th AFSIS Focal Point Meeting) มีมติให้ดำเนินโครงการนำร่องใน 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา และลาว โดยเริ่มที่ประเทศไทย เป็นประเทศแรก โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการ 9 เดือน (วันที่ 1 ต.ค. 2563- 30 มิ.ย. 2564)

สำหรับกรอบที่จะนำมาใช้ในการกำหนดตัวอย่าง สศก. จะใช้เกษตรกรจากฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกรกลาง (Farmer One) มาใช้ประกอบการพิจารณาและเลือกเกษตรกรตัวอย่างที่จะทำการสำรวจนำร่อง โดยเลือกอำเภอที่มีจำนวนประชากรเกษตรมากที่สุดของจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 5 อำเภอ ได้แก่ พนมสารคาม สนามชัยเขต บางน้ำเปรี้ยว เมืองฉะเชิงเทรา และบ้านโพธิ์

       ทั้งนี้ คาดว่าการสำรวจจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือน ม.ค. 2564 และจะมีการจัดประชุม สรุปผลการดำเนินการและนำเสนอร่างรายงานผลการสำรวจตามโครงการนำร่องสำรวจ (Pilot Survey) ตามตัวชี้วัด SGDs 2.4.1 ของประเทศไทย (In-country Wrap up Meeting) ภายในเดือนพ.ค. 2564 พร้อมทั้งได้วิเคราะห์และ จัดทำรายงานผลการสำรวจตามโครงการนำร่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิ.ย. 2564 

      อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่า รายงานของFAOมีการนำข้อมูลจาก 3 ส่วนคือระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณธสุข และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)   ในมิติต่างๆเช่นการเข้าถึงแหล่งอาหาร การเข้าถึงพลังงานที่บริโภคได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะกิดความคลาดเคลื่อนของข้อมูลอันเป็นสาเหตุให้ไทยมีสัดส่วนความหิวโหยต่อจำนวนประชากรสูงึง9% ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม และมีความอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีพื้นฐานพืชเกษตรทั้งที่เป็นแบบตั้งใจเพาะปลูกเพื่อเป็นอาหาร และแบบที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติซึ่งเป็นโอกาสที่ประชากรไทยสามารถเข้าถึงอาหารได้ จึงคาดว่ารายงานของFAO น่าจะเกิดความคลาดเคลื่อนเพราะเป็นการนำข้อมูลมาจากหลายหน่วยงานซึ่งอาจมีการเก็บข้อมูลในบริบทที่ต่างกันไป ดังนั้น มั่นใจว่าหากไทยดำเนินการเก็บข้อมูลและจัดทำรายงานใหม่มั่นใจว่ายูเอ็นจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องได้ตามข้อเท็จจริง