'3กูรู' ฟันธงปีหน้าหุ้นไทย ! ชนะโควิด-19
'3 กูรู' วิพากษ์ SET INDEX ปี 2564 'ฟันโฟลด์ & วัคซีนโควิด-19' ปลดล็อกหุ้นไทยทะยาน 1,650 จุดได้ ! ถือเป็นตลาด 'ขาขึ้น' รอบใหม่ 2 ปัจจัยบวกเข้ามาเปลี่ยนทิศทางดัชนีขยับอีกครั้ง... แนะธีมลงทุนเลือกรายตัวเน้นกลุ่มคอมมูนิตี้ ขานรับเศรษฐกิจฟื้นตัว
พลันที...!! 'โลกปั่นป่วน' จากปัจจัยการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธ์ใหม่ 2019 (วิด-19) 'ตลาดหุ้นไทย' ถือเป็นตลาดลงทุนแรกๆ ที่มีปฏิกิริยาเชิงลบเห็นได้จากดัชนี SET Index ปรับตัวร่วงลงอย่างต่อเนื่อง จาก 'จุดสูงสุด' (New High) ระดับ อยู่ที่ 1,600.48 จุด (17 ม.ค. 2563) และ 'ต่ำสุด' (New Low) อยู่ที่ 969.08 จุด (13 มี.ค.2563) แม้ยังไม่สามารถขยับไปยืน 'จุดสูงสุดเก่า' ที่เคยทำได้เมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมาระดับ 1,600.48 จุด !
ส่วนทางกลับ 'สินทรัพย์ปลอดภัย' หรือ Safe Haven คือ 'ทองคำ-ดอลลาร์' โดยราคาทองคำรูปพรรณขายออกที่บาทละ 30,200.00 บาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำรูปพรรณ ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นตามราคาทองคำโลกที่ปรับขึ้นทะลุ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบใหม่เฉกเช่นกัน
ขณะที่ 'ผลตอบแทน' (รีเทิร์น) ปี 2563 'ไม่โดดเด่น' พบว่าปัจจุบันผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทย (ณ วันที่ 24 ธ.ค.) 'ติดลบ 8.12%' (ตัวเลข ณ วันที่ 24 ธ.ค.2563)
ทว่าเมื่อ 'มีลบก็ต้องมีบวก' ถือเป็นสัจธรรม โดยเฉพาะปัจจัยในแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ไม่อาจคาดการณ์ความรุนแรงว่าจะมากน้อยแค่ไหน ? ทำให้ที่ผ่านมา 'หุ้นบางตัว' ปรับลดลงต่ำเกินปัจจัยพื้นฐาน แต่ว่าจังหวะที่ตลาดหุ้นสะดุดในครานี้ นักลงทุนทุกไซด์ไม่พลาดที่จะหาโอกาสช่วงชิง 'ของถูก' เติมเข้าพอร์ตลงทุน !!
แม้ว่า โค้งสุดท้ายของปี 2563 โควิด-19 กลับมาเป็นปัจจัยลบ 'กดดัน' หุ้นไทยอีกครั้ง ! โดยเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ที่ผ่านมา ดัชนี SET INDEX ปิดตลาด 1,401.78 จุด ลดลง 80.60 จุด หรือ 5.44% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) 129,435.44 ล้านบาท หลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รอบใหม่ สะท้อนผ่านยอดผู้ติดเชื้อยังสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง
แต่มี 'ปัจจัยบวก' เข้ามาสนับสนุนดัชนี SET INDEX ให้ปรับตัวขึ้นไปต่อได้ในปี 2564 อาทิ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ , เม็ดเงินต่างชาติ (Fund Flow) , การค้นพบวัคซีนโควิด-19 และน่าจะเริ่มแจกจ่ายได้ในปีหน้า , นโยบายการเงินยังคงอยู่ในระดับที่ผ่อนคลาย และ กำไรของบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัว 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' มีทัศนะจากเหล่า 'กูรูตลาดหุ้น'...?
'โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง' อดีตนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ VI เจ้าของชื่อล็อกอิน 'ลูกอีสานในเว็บไซต์ Thaivi' วิเคราะห์ดัชนี SET Index ว่า ตลาดหุ้นปี 2564 น่าจะ 'สดใส' กว่าปี 2563 สะท้อนผ่านช่วง 3-4 เดือนแรกปี 2564 คาดว่าโรงพยาบาลเอกชนน่าจะมีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 เข้ามาให้บริการได้ แต่ราคาอาจจะแพงมาก ขณะที่ภาครัฐน่าจะมีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 เข้ามาฉีดได้ประมาณครึ่งปีหลัง 2564
ขณะที่ มองภาพรวมเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวที่ดีขึ้น บ่งชี้ผ่านตัวเลขเศรษฐกิจหลายตัวติดลบน้อยลง แม้ว่าเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นกลับมาเติบโตเท่าปี 2562 เนื่องจากอุตสาหกรรมภาคการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักๆ ของประเทศยังไม่ฟื้น โดยคาดว่ากลุ่มท่องเที่ยวน่าจะฟื้นตัวในปี 2565 แต่ปีหน้าทิศทางเศรษฐกิจจะดีขึ้นกว่าปีก่อนอย่างแน่นอน ฉะนั้น ตลาดหุ้นจะสะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าวเป็นลำดับแรกๆ
อย่างไรก็ตาม ปีหน้ามีโอกาสจะเห็น SET Index กลับไปยื่นจุดสูงสุด (New High) ของปี 2563 อยู่ที่ 1,600.48 จุดได้ ภายใต้สมมุติฐานว่าจะไม่มีเหตุการณ์อะไรมาสร้างความเซอร์ไพรส์ให้ตลาดหุ้นอีก เหมือนการระบาดของโควิด-19
'ธรรมชาติของตลาดหุ้นจะต้องมีทั้งปัจจัยลบและบวกอยู่ตลอด อย่างปี 2563 นิยามว่าตลาดหุ้นเป็นปีของนักลงทุนที่มองโลกสดใส แม้ดัชนีหลุด 1,000 จุด ก็ยังกล้าซื้อ แต่สำหรับนักลงทุนที่มองโลกเลวร้ายตอนนี้ก็ตกขบวนรถไปก่อน'
ขณะที่ ปีหน้าหุ้น 'กลุ่มวัฏจักร' ที่เป็นหุ้นคอมมูนิตี้จะโดดเด่น เช่น กลุ่มน้ำมัน-ปิโตรเคมี หุ้นไฟฟ้า-ถ่านหิน ขนส่ง สะท้อนผ่านค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับ 'ผลตอบแทนลงทุน' (รีเทิร์น) ปี 2563 'อนุรักษ์' บอกว่า ผลตอบแทนการลงทุน 'ชนะตลาดหุ้นไทย' ที่คาดว่าตลาดจะติดลบราว 10% โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะนำ ให้เลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัว ซึ่งในปีหน้าอยากให้นักลงทุนทำการบ้านก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น ดูหุ้นรายตัวที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
'ซัน-กระทรวง จารุศิระ' นักลงทุน และ ผู้ริเริ่มโครงการซุปเปอร์ เทรดเดอร์ ไทยแลนด์ (Super Trader Thai land) วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยปี 2564 ให้ฟังว่า ปีหน้า 'เม็ดเงินต่างชาติ' (Fund Flow) และ 'วัคซีนโควิด-19' จะเป็นปัจจัยบวก 'ปลดล็อก' ให้ดัชนี SET INDEX เป็น 'ขาขึ้น' รอบใหม่แล้ว สะท้อนผ่านเส้นกราฟเทคนิคที่ส่งสัญญาณผงกหัวขึ้นแล้ว โดยให้เป้าหมายดัชนีปีหน้าอยู่ที่ 1,650 จุด ! แต่ระหว่างทางดัชนีอาจจะมีการย่อหรือพักฐานบ้าง
'ปีหน้าเราจะได้เห็นดัชนีตลาดหุ้นไทยแตะ 1,650 จุดอย่างแน่นอน และจะไม่เห็นตลาดหุ้นกลับไปจุดต่ำสุด 969 จุดพันเปอร์เซ็นต์ แต่ทั้งหมดภายใต้ไม่มีอะไรมากระทบตลาดหุ้นแรงๆ อย่าง โควิด-19 กลายพันธุ์แล้วทำให้วัคซีนใช้ไม่ได้ หรือ เกิดสงครามโลก'
ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ไม่น่าเป็นห่วงทั้งเรื่อง การแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ , ความวุ่นวายทางการเมืองที่คาดว่าจะไม่มีอะไรรุนแรง สำหรับเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวแล้ว โดยคาดว่าในปีหน้ากลุ่มท่องเที่ยวน่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ สอดรับกับหลังครึ่งปีหลังคาดว่าเมืองไทยจะได้วัคซีนโควิด-19 เข้ามาฉีดให้ประชาชนได้แล้ว
สำหรับ 'หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์' ในปีหน้าคาดว่าจะเป็นหุ้นวัฏจักร คือ หุ้นในกลุ่ม 'คอมมูนิตี้' (Community) อย่าง กลุ่มปิโตรเคมี , น้ำมัน , ยางพารา , ธนาคาร (แบงก์) , ขนส่งทางเรือ เป็นต้น โดยกลุ่มคอมมูนิตี้จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติจากการมีวัคซีน-19 แล้ว
สำหรับผลตอบแทนการลงทุนของ 'กระทรวง' ปี 2563 บอกว่า มีผลตอบแทน 'ชนะตลาดเล็กน้อย' เพราะว่าช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาก็เจ็บตัวไม่ใช่น้อย
'เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง' นักลงทุนด้านเทคนิคเจ้าของพอร์ต 'หลักพันล้าน' วิเคราะห์ตลาดหุ้นไทยปี 2564 โดยมองว่า ตลาดหุ้นไทยปีหน้าน่าจะสดใสกว่าปี 2563 ทั้งในทางพื้นฐานและทางเทคนิค ซึ่งมีปัจจัยบวกหลายประเด็น โดยมองว่า 'เม็ดเงินต่างชาติ' (Fund Flow) คาดว่าจะยังไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ซึ่งมองว่า ดัชนี 969.08 จุด (เมื่อวันที่ 13 มี.ค.2563) น่าจะเป็น 'จุดต่ำสุด' แล้ว
ขณะที่ผลตอบแทนการลงทุนปี 2563 'เสี่ยป๋อง' บอกว่า ผลตอบแทนเป็นบวก 'ประมาณ10%' เพราะที่ผ่านมาส่วนตัวลงทุนในหุ้นใหญ่ จึงทำให้พอร์ตลงทุนปรับมาเป็นบวกได้ จากช่วงครึ่งปีแรกที่เจ็บตัวเล็กน้อยในช่วงที่ตลาดร่วงมากๆ โดยปีหน้า มองว่าธีมลงทุนน่าจะยังอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่ สอดคล้องกับเม็ดเงินต่างชาติที่คาดว่าจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง
โบรกฯ ฟันธงหุ้นไทยปีหน้า...สดใสขึ้น !
'ทอม-ไพบูลย์ นลินทรางกูร' ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่าสำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2564 คาดว่ามีโอกาสกลับมายืนเหนือระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ที่บริเวณ 1,580 จุดได้ เนื่องจากได้รับแรงหนุนสำคัญจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและกระแสฟันด์โฟลว์ต่างชาติที่คาดว่าจะไหลกลับเข้ามา
ภายหลังจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มมองหาการลงทุนที่ยังมีอัพไซด์และเชื่อว่าประเทศไทยน่าจะได้รับประโยชน์เต็มๆจากระบบเศรษฐกิจที่อิงวัฏจักรเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้นและฐานที่ต่ำในปีนี้ ประกอบกับคาดว่าอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ปีหน้าจะเติบโตกว่า 40% เพราะหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในตลาดที่ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเศรษฐกิจ
'คมศร ประกอบผล' หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ บอกว่า แม้ปัจจุบันตลาดหุ้นทั่วโลกจะซื้อขายในระดับราคาที่ค่อนข้างแพงมากเมื่อเทียบกับในอดีต แต่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ยังคงมองว่าในปี 2564 ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก '5 ปัจจัยบวก' ประกอบด้วย 1.การฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า ในปี 2564 ตัวเลข GDP โลกจะขยายตัวที่ 5.2% ฟื้นตัวขึ้นจากที่หดตัวถึง -4.4% ในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการค้นพบวัคซีนโควิด-19
2.การเลือกตั้งสหรัฐฯที่มีความชัดเจน ซึ่งเป็นผลจากการที่ 'โจ ไบเดน' สามารถคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา 3.การค้นพบวัคซีนโควิด-19 และน่าจะเริ่มแจกจ่ายได้ในปี 2564 พร้อมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในหลายประเทศได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับสู่ภาวะปกติได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เป็นต้นไป
4.นโยบายการเงินยังคงอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายเมื่อเทียบกับในอดีต โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ปรับเป้าหมายนโยบายการเงินไปใช้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย ซึ่งจะทำให้ Fed คงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายได้นานกว่าในอดีต แตกต่างกับในช่วงปี 2559-2560ที่ Fed กลับมาขึ้นดอกเบี้ยในทันทีที่เงินเฟ้อสูงเกินเป้าหมายที่ 2% และเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยพร้อมทั้งลดขนาดงบดุลอย่างต่อเนื่องจนส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับฐานลงแรงถึง 15% ในปี 2561
และ 5.กำไรของบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวขึ้นเร็ว ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่รวบรวมโดย Bloomberg ชี้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 จะฟื้นตัวขึ้น 22% ในปี 2564 และขยายตัวต่อเนื่องอีก 15% ในปี 2565 ขณะที่ตลาดหุ้นไทย คาดว่ากำไรจะขยายตัว 46% และ 14% ตามลำดับ
ส่วนกลุ่มหุ้นที่น่าจะปรับตัวขึ้นแรงในปีหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนทิสโก้ ยังคงมองว่า 'หุ้นวัฎจักร' เช่น กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม , สินค้าฟุ่มเฟือย และสินค้าวัสดุ ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จาก 5 ปัจจัยบวกขั้นต้น อีกทั้งราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังถูกกว่าเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวมอีกด้วย
อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นเวลานาน ประกอบกับนโยบายการคลังขนาดใหญ่เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงสวัสดิการจากภาครัฐเพิ่มขึ้นแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้นแรงเหมือนเช่นในช่วงภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง (Great Inflation) ในปี 2508-2525 จึงแนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปยังทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อในระยะยาว โดยมองระดับราคาที่เหมาะสมในการเข้าทยอยสะสมที่ ระดับต่ำกว่า 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์