กานดาฯเล็งบุกบ้านต่ำกว่า1.6ล้าน

กานดาฯเล็งบุกบ้านต่ำกว่า1.6ล้าน

กานดา พร็อพเพอร์ตี้ พลิกกลยุทธ์รับมือตลาดแนวราบแข่งขันสูง เตรียมเจาะตลาดบ้านต่ำกว่า 1.6 ล้าน เน้นพัฒนาแลนด์แบงก์ในมือ5โครงการ ตั้งเป้าปีนี้รายได้ 2,200 ล้านบาท

นายหัสกร บุญยัง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่าภาพรวมของเศรษฐกิจในปี 2564 ไม่น่าจะแย่กว่าปี 2563 ที่ผ่านมา แม้ จะมีการล็อกดาวน์บางจังหวัดหรือบางพื้นที่ เนื่องจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 โดยภาพรวมของอสังหาฯปีนี้จะมีความคล้ายคลึงกับปีที่ผ่านมา กล่าวคือมีการชะลอตัวในครึ่งปีแรก และฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

โดยเฉพาะตลาดแนวราบ การแข่งขันในแต่ละทำเลสูงขึ้นเนื่องจากแต่ละบริษัทจะมีการจัดแคมเปญ โปรโมชั่นที่เข้มข้นมากขึ้นเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด เพื่อรองรับกับดีมานด์ในตลาดที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากกลุ่มที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเปลี่ยนมาซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น ทำให้มีผู้เล่นในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น ส่วนตลาดคอนโดคาดว่าจะยังคงติดลบ เพราะยอดขายคอนโดใหม่ลดลง โดยภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัว

ในส่วนของบริษัทเน้นการเติบโตอย่างมั่นคง และมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง ด้วยการขยายทำเลใหม่ พร้อมทั้งขยายกลุ่มลูกค้าเพิ่ม จากเดิมผลิตภัณฑ์ของบริษัทจะอยู่ในระดับราคา 2 ล้านบาทขึ้นไปเป็นหลัก ขณะนี้บริษัทกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะขยายกลุ่มลูกค้าในตลาดที่ราคาต่ำกว่า 1.6 ล้านบาทลงมา ซึ่งเป็นตลาดที่ยังมีความต้องการซื้อสูง ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับบริษัทแต่ยังติดปัญหาเรื่องของต้นทุนการพัฒนาโครงการในปัจจุบันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะต้องขยับออกมานอกเมือง แต่ต้องมีแหล่งงานรองรับ คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้


นอกจากนี้ได้ชะลอการซื้อที่ดินใหม่ และนำที่ดินที่มีอยู่มาพัฒนาโครงการใหม่รวม 5 โครงการ มูลค่ารวม 3,631 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย1. ไอลีฟ ไพร์ม ประชาอุทิศ 90 เป็นโครงการทาวน์โฮมจำนวน 211 ยูนิต มูลค่าโครงการ 441 ล้านบาท2.ไอลีฟ ไพร์ม 2 พระราม 2 กม.14 เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดจำนวนรวม 228 ยูนิต มูลค่าโครงการ 805 ล้านบาท 3.ไอลีฟ พัทยา-จอมเทียน ซึ่งเป็นการเปิดโครงการบนทำเลใหม่ในปีนี้ของบริษัท เป็นโครงการทาวน์โฮม จำนวนรวม 384 ยูนิต มูลค่าโครงการ 875 ล้านบาท4.ไอลีฟ ไพร์ม 2 ประชาอุทิศ 90 เป็นโครงการทาวน์โฮม จำนวน 268 ยูนิต มูลค่าโครงการ 541 ล้านบาทและ5.ไอลีฟ ไพร์ม 2 วงแหวน-รังสิตคลอง 4 เป็นโครงการทาวน์โฮม จำนวน 460 ยูนิต มูลค่าโครงการ 969 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,300 ล้านบาท และเป้ารายได้อยู่ที่ 2,200 ล้านบาท

“เมื่อรวมกับโครงการที่เปิดขายมาแล้วก่อนหน้าในปี 2564 บริษัทจะมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายรวมทั้งสิ้น 17 โครงการ ใน 9 ทำเล มูลค่าโครงการรวมประมาณ 9,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันยังมีที่ดินรอการพัฒนาสำหรับโครงการในอนาคตมูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท” นายหัสกรกล่าว

ขณะเดียวกัน บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ทั้งในด้านการก่อสร้าง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริการ เพื่อรองรับการแข่งขันที่สูงขึ้น ในส่วนของการก่อสร้าง ได้เพิ่มจำนวนบ้านสร้างเสร็จพร้อมขายพร้อมโอนให้เพียงพอกับประมาณการยอดขายในช่วงเปิดโครงการ เพื่อที่จะสามารถโอนได้เร็ว เพิ่มกระแสเงินสดให้บริษัทได้เร็วขึ้น และยังเป็นการรองรับพฤติกรรมการซื้อของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการซื้อโดยไม่ต้องผ่อนดาวน์

“ปัญหาที่เกิดจากการภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการที่ธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ในเชิงรุก โดยการตั้งทีมขึ้นมาทำงานร่วมกับธนาคารต่างๆ อย่างใกล้ชิด และคอยแก้ปัญหาและให้คำปรึกษากับลูกค้าที่กู้ไม่ผ่าน เพื่อยังคงรักษาลูกค้าไว้กับบริษัทในระยะยาว” นายหัสกร กล่าว

นายหัสกร กล่าวว่า บริษัทได้ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าใหม่ ตั้งแต่ปี 2562-2566 ปีละ 1-3 ทำเล และเปิดโครงการใหม่ปีละ 4-8 โครงการ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัท โดยในปี 2563 ได้ขยายทำเลโดยการเปิดโครงการใหม่เพิ่มที่โซนเทพารักษ์-บางบ่อ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการไอลีฟ พรีม่า เทพารักษ์-บางบ่อ ทั้งในส่วนที่เป็นโครงการทาวน์โฮม “ไอลีฟ ทาวน์” และโครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด “ไอลีฟ พาร์ค” นอกจากนี้ ยังได้เปิดโครงการใหม่ในทำเลที่บริษัทมีโครงการเปิดอยู่ก่อนแล้ว ได้แก่ โครงการไอลีฟ ไพร์ม วงแหวน-รังสิตคลอง 4 และโครงการไอลีฟ ไพร์ม 2 ถลาง ภูเก็ต”

โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา แม้ภาพรวมของตลาดที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษทสามารถทำให้ยอดขายได้มากกว่า 3,000 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท และมีรายได้จากการโอน 1,950 ล้านบาท “แม้ว่ารายได้จะตกจากเป้าที่ตั้งไว้ 2,000 ล้านบาทไปเล็กน้อย เนื่องจากมีการชะลอการเปิดโครงการใหม่ในช่วงที่ไวรัสระบาดรุนแรง และอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่สูงขึ้น แต่ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ และยังคงเป็นไปตามแผนที่ต้องการให้บริษัทเติบโตได้อย่างมั่นคง และมีสถานะการเงินแข็งแรง” นายหัสกร กล่าว