‘บิทคอยน์’ราคานิวไฮ เตือนระยะสั้นมีโอกาสปรับฐาน

‘บิทคอยน์’ราคานิวไฮ เตือนระยะสั้นมีโอกาสปรับฐาน

“บิทคอยน์” ราคาพุ่งทำนิวไฮ ทะลุ 35,000 ดอลลาร์ “บิทคับ” เผยปรากฏการณ์หลังฮาฟวิ่ง ดันราคาพุ่งต่อ ย้ำ ปีนี้เป็นปีทองของบิทคอยน์ ขณะที่ “สตางค์”มองสิ้นปีนี้มีโอกาสราคาพุ่งแตะ50,000ดอลลาร์หลังกองทุนใหญ่หนุน แต่ระหว่างทางยังมีความเสี่ยงตลาดปรับฐาน เตือนนักลงทุนไม่รีบร้อนเข้าลงทุน เน้นลงทุนระยะยาวได้

วานนี้ (6 ม.ค.) ราคาบิทคอยน์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดใหม่(นิวไฮ)35,739.5 ดอลลาร์ หรือ 1.07 ล้านบาท โดยทำลายนิวไฮเดิมที่ 34,833 ดอลลาร์ เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมานี้ หรือ 1.04 ล้านบาท ขณะที่ เวลา17.00น. ราคาบิทคอยน์ปรับตัวลงมาแถวระดับแกว่งตัว 34,000 -35,000 ดอลลาร์ หรือ 1.03-1.04 ล้านบาท

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งเว็บซื้อขายเงินดิจิทัล Bitkub.com หรือ บิทคับ เปิดเผยว่า ราคาบิทคอยน์ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำนิวไฮรอบนี้ มาจากปรากฏการณ์หลังช่วงฮาฟวิ่งของบิทคอยน์ ที่ 4 ปี เกิด1ครั้ง รอบแรก ราคาเพิ่มขึ้นจาก 11 ดอลลาร์ เป็น 1,150 ดอลลาร์หรือเพิ่มขึ้น 10,000 %และปรับฐานลงมาต่ำสุดที่ 250 ดอลลาร์ รอบสองราคาเพิ่มจาก 650 ดอลลาร์เป็น 20,000 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 1,000% และปรับฐานลงมาต่ำสุดที่ 3,000 ดอลลาร์ ในช่วงเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19รอบแรก และรอบสาม ราคาเพิ่มขึ้นจาก3,000 ดอลลาร์เป็น33,000 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น1,000% และยังมีแนวโน้มขาขึ้นต่อในปีนี้ แต่ระหว่างทางมีโอกาสปรับฐานลงมาแต่ไม่หลุดจุดต่ำสุดเดิมที่3,000 ดอลลาร์อย่างแน่นอน

สำหรับปัจจัยหนุนต่อเนื่องจากมาตรการคิวอีของประเทศสำคัญทั่วโลกทำให้เงินยังล้นระบบ นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ เข้าหาสินทรัพย์ยุคใหม่อย่างบิทคอยน์ ในขณะที่ตลาดหุ้นกลายเป็นยุคเก่าและราคาทองคำยังไม่ปรับขึ้นเร็ว รวมถึงนักลงทุนในไทยเริ่มให้ความสนใจเข้ามาศึกษาและลงทุนมากขึ้น

หลังจากราคาบิทคอยน์ขึ้นทะลุ1 ล้านบาทเมื่อต้นปีนี้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีสตาร์อัพในไทยทำได้มาก่อน จากยอดดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น บิทคับมากที่สุดเป็นอันดับ1ในไทยแซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง ไลน์,ยูทูบ,เฟชบุ๊กแล้ว

ปัจจุบันเรามีส่วนแบ่งการตลาดเว็บเทรดเงินดิจิทัลในไทย สัดส่วนถึง 95% มียอดบัญชีทั้งสิ้น7 แสนคน โดยช่วง1-6ม.ค.นี้ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย40,000 คนต่อวัน ทางด้านยอดเทรดเงินดิจิทัลขึ้นไปถึง4 พันล้านบาทต่อวัน และมียอดเงินฝากราว12,000 ล้านบาท วางเป้าหมายคาดว่า สิ้นปีนี้จะมียอดบัญชีเพิ่มขึ้นแตะ 2ล้านคน ยอดเทรดเพิ่มขึ้นระดับ6-8พันล้านบาทต่อวัน และมียอดเงินฝากเพิ่มขึ้น5-10เท่าหรือ 50,000-100,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามการลงทุนบิทคอยน์ในปีนี้ยังต้องระวังตลาดปรับฐานหลังราคาขึ้นไปสูง เพราะหลังจากขึ้นทะลุ1ล้านบาทก็ลงมาที่ระดับ800,000 บาทไปแล้วรอบหนึ่ง ดังนั้นนักลงทุนอย่ารีบร้อน ไม่ควรนำเงินร้อนหรือเงินที่ใช้ประจำมาเสี่ยง ควรเป็นเงินที่เหลือจากเงินออมเท่านั้น

นายปรมินทร์ อินโสม ประธานกรรมการบริหารบริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้ราคาบิทคอยน์ยังคงไซด์เวย์ระดับนี้ และภายในเดือนม.ค.มีโอกาสที่ราคาบิทคอยน์ปรับตัวลงได้ จากนักลงทุนอาจปิดความเสี่ยงขายบิทคอยน์ออกมาก่อนเพื่อเลี่ยงปัญหาทางภาษีของฝั่งสหรัฐในช่วงเดือนนี้

ขณะเดียวกันในวันที่ 13 ม.ค.นี้ ที่ นายโจ ไบเดนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะมีการประกาศผู้ที่จะเข้ามาดูแลในอุตสาหกรรมคริปโตเคอเรนรี่ ต้องรอดูว่าคนใหม่ที่เข้ามาดูแลนั้นจะแนวทางหรือมาตรการดูแลอย่างไรบ้าง

อย่างไรก็ตามมองว่าสิ้นปีนี้มีโอกาสที่ราคาบิทคอยน์ จะขึ้นไปแตะ50,000 ดอลลาร์ หรือ 1.5 ล้านบาทได้ มีโอกาสปรับฐานลงทุนระดับ 20,000-25,000 ดอลลาร์ หรือ 600,000-750,000บาท

ดังนั้นการเข้าลงทุนบิทคอยน์ แนะว่านักลงทุนยังต้องระมัดระวังอย่างมาก จากระยะสั้นราคายังมีโอกาสปรับตัวลงได้แม้ปัจจุบันจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาบ้าง หรือแม้แต่นักลงทุนระยะสั้นที่เข้ามาเก็งกำไรบิทคอยน์ ก็ยังต้องระมัดระวัง เพราะก่อนหน้านี้ราคาบิทคอยน์จะทะลุ1ล้านบาทเป็นครั้งแรกจากกองทุนและบริษัทใหญ่เข้าลงทุน แต่เริ่มมีการขายทำกำไรออกมาเช่นกัน ที่ผ่านมาก็สามารถขึ้นลงได้ในวันเดียว ดังนั้นควรเป็นการลงทุนในระยะยาว ส่วนในระยะสั้นใช้กำไรซื้อขายเท่านั้น

ปัจจุบันเรามียอดเทรดเงินดิจิทัล เฉลี่ย30-40 ล้านบาทต่อวันหรือมูลค่าเพิ่มขึ้น 3 เท่า ในช่วงต้นปีมานี้และยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ส่วนจำนวนบัญชีปัจจุบันมีทั้งสิ้น 10,000 คนและเพิ่มเป็น 50,000 คน ในสิ้นปีนี้