ธุรกิจกลับมาเติบโตอีกครั้ง ! ‘เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์’
เศรษฐกิจไทย ! ทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่เป็นการฟื้นตัว “ยังไม่ทั่วถึง”โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงหดตัวในระดับสูง
จากผลกระทบมาตรการปิดประเทศ (Lock down) และการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ช่วงปลายเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้กิจกรรมการเดินทางและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
แต่ในส่วนของการส่งออกสินค้าประเภทต่างๆ ธุรกิจกลับมาขยายตัวได้ตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าที่ดีขึ้น สะท้อนผ่านมูลค่าส่งออกสินค้าไตรมาส 4 ปี 2563 ขยายตัว 4.6% จากช่วงไตรมาส 4 ปี 2562 เป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 10 เดือน โดยปรับดีขึ้นในเกือบทุกหมวดสินค้า
“ชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา” ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ยอมรับว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ กระทบทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งและโลจิสติกส์ชะลอตัวลง แต่หลังจากสถานการณ์คลี่คลาย ภาคธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งเป็นลูกค้าของบริษัทกลับมาใช้บริการเช่นเดิมแล้ว
โดยในส่วนกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมรถยนต์และการขนส่งสินค้าอันตรายกลับมาฟื้นตัวที่ชัดเจน สอดคล้องกับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศโดยจะส่งผลให้ผลงานของบริษัทกลับมาดีขึ้นซึ่งบริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2564 เติบโต 15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3,922.4 ล้านบาท แม้ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 ได้รับผลกระทบบ้างจากการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ก็ตาม
“ปีนี้จะเป็นปีที่สามารถผลักดันรายได้ และผลกำไรเติบโตได้ดี เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงเท่ากับปีที่ผ่านมา ประกอบกับ ธุรกิจรับฝาก และ บริหารยานยนต์ รวมถึงธุรกิจรับฝาก และ บริหารคลังสินค้าอันตรายของ JWD มีการฟื้นตัวอย่างชัดเจน สะท้อนผ่านสามารถทำรายได้ช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 สูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า และ คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีนี้อีกด้วย”
อย่างไรก็ตาม คลังสินค้าห้องเย็นในมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร ในช่วงโควิด-19 รอบใหม่ระบาดนั้น บริษัทไม่ได้รับผลกระทบ และปัจจุบันมีความต้องการจัดเก็บสินค้ามากกว่าปริมาณพื้นที่รองรับได้
ขณะที่ทางด้านการดำเนินธุรกิจขนส่งสินค้าข้ามแดนจากประเทศไทย-เมียนมา ตอนนี้ยังดำเนินการได้ตามปกติ แต่อาจใช้ระยะเวลาการขนส่งเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการตรวจตราที่เข้มงวดโดยมองเป็นผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้นแต่อย่างไรก็ตามมองว่าไม่กระทบต่อภาพรวมของผลงานในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ
เขาบอกต่อว่า ในปีนี้บริษัทจะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากธุรกิจที่ขยายการลงทุนไปก่อนหน้านี้ เช่น การเปิดให้บริการคลังสินค้าจัดเก็บเอกสารแห่งใหม่ที่ใช้ระบบอัตโนมัติ , การเปิดบริการคลังห้องเย็นโรบอติกส์ (อาคาร 9) , การให้บริการท่าเทียบเรือสินค้าชายฝั่งรองรับตู้คอนเทนเนอร์สำหรับสินค้าส่งออก ซึ่งทำให้รายได้ของบริษัทจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้วางไว้ที่ 2,000 ล้านบาท ซึ่งเน้นการลงทุนในส่วนการก่อสร้างท่าเรือ Barge Terminal ให้แล้วเสร็จ , การขยาย Self Storafeเพิ่มอีก 3 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 6 สาขา และ มองหาการควบรวม Self Storageอื่น ๆ เข้ามา รวมถึงการลงทุนคลังสินค้าให้เช่าแบบ Built to suite พื้นที่ 62,000 ตารางเมตร ร่วมกับ บริษัท ออริจิ้นพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI รวมทั้ง หากมีดีลที่ต้องลงทุนบริษัทก็มีความพร้อมทางด้านกระแสเงินสด
ทั้งนี้ ผลดำเนินงานปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 3,922.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% จากปี 2562 ที่มีรายได้ 3,660.2 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ต้องการรักษารายได้รวมเท่ากับปี 2562 เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 290 ล้านบาท ลดลง 20% จากปี 2562 ที่มีกำไร 362.8ล้านบาทการลดลงของกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทเป็นผลกระทบจากภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19