ผ่าวิชั่น'วอริกซ์'จ่อเข้าตลาดฯ พลิกอาณาจักรสินค้ากีฬาสู่สนาม'ออนไลน์'
ปรับ "วิชั่น" วางกลยุทธ์แบรนด์ วาดเป้ายอดขายใหม่ โจทย์สร้างการเติบโต "วอริกซ์" พลิกอาณาจักรธุรกิจขายเสื้อผ้า รองเท้ากีฬา เดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ระดมทุน 200-300 ล้านบาท เสริมแกร่งอีคอมเมิร์ซ เพื่อลุยสนามค้าขายใหญ่ "ออนไลน์" เจาะลูกค้าทั่วโลก
7 ขวบ เป็นอายุของแบรนด์ “วอริกซ์” แบรนด์เสื้อผ้า รองเท้ากีฬาสัญชาติไทย ที่แทรกตัวหาช่องว่างตลาดหรือเริ่มจากตลาดเฉพาะ (Niche Market) ในตลาดเสื้อผ้ากีฬามูลค่าราว 6,000 ล้านบาท สร้างแบรนด์ ทำตลาดแข่งขันกับแบรนด์ไทย (Local) ระดับตำนาน และท้าชนแบรนด์ระดับโลก (Global Brand) จนแจ้งเกิดได้อย่างสวยงาม โกยยอดขายหลักหลาย “ร้อยล้าน”
วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด เล่าว่า...เส้นทางในสนามธุรกิจเกี่ยวกับสินค้ากีฬามากว่า 20 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก และการตัดสินใจสร้างแบรนด์ “วอริกซ์” เพื่อหาโอกาสในตลาดลิขสิทธิ์เสื้อผ้ากีฬาหรือสปอร์ตไลเซ่นส์ซิ่งให้เติบใหญ่ มีจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อบริษัทสามารถคว้าสิทธิ์ผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้ากีฬาให้ฟุตบอลทีมชาติไทย 4 ปี มูลค่า 400 ล้านบาท พลิกบริษัทที่มีรายได้กว่า 100 ล้านบาท ทะยานสู่ 500 กว่าล้านบาทอย่างรวดเร็ว
“จำได้ วันที่ 9 เดือน 9 ปี 2559 เราเติบโตกว่า 3 เท่าตัว จากการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ชุดฟุตบอลทีมชาติไทย 4 ปี”
สปอร์ตไลเซ่นซิ่ง เป็นจุดสตาร์ทธุรกิจขนาดย่อม และการเติบโตเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้บริษัทแข็งแกร่งขึ้น เมื่อโลกการค้าขายเปลี่ยน และโรคโควิด-19 ระบาดกลายเป็นตัวแปรทำให้การขับเคลื่อนธุรกิจแบบเดิมๆ ไม่ได้ บริษัทจึงเปลี่ยน “วิสัยทัศน์” และ “เป้าหมาย” ใหม่หมด แต่การผลักดันบริษัทเข้า “จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ยังคงเดิม
ทั้งนี้ วิสัยทัศน์ใหม่ บริษัทจะปรับตัวจากการขายสินค้ากีฬา ไปสู่สินค้าการเป็น “หน้าร้านออนไลน์” หรือ “มอลล์ ดอทคอม” เพื่อขายสินค้ากีฬาและสินค้าสุขภาพแบรนด์ดังอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งมี Amazon.com เป็นต้นแบบและพันธมิตร
“ก้าวสู่ปีที่ 8 ของวอริกซ์ เราวางกลยุทธ์ใหม่สู่การเป็นแอคทีฟ เฮลธ์ตี้ ไลฟ์สไตล์ เป็นมากกว่าแบรนด์ที่ขายสินค้าลิขสิทธิ์ด้านกีฬาเพียงอย่างเดียว แต่จะมีทั้งการเปิดศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา ขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ เช่น วิตามิน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร รวมถึงการมุ่งสร้างอาณาจักรรีเทล ออนไลน์”
ปัจจุบันการขยายธุรกิจโดยร่วมมือกับ “พันธมิตร” ทรงพลังมากขึ้น บริษัทจึงแปลงคู่แข่งมาเป็นคู่ค้า มีการจับมือกับแบรนด์รองเท้าชั้นนำอย่างเอสิกส์(ASICS) การ์มิน สมาร์ทวอชการ์มิน (GARMIN) อุปกรณ์ออกกำลังกาย และสินค้าอีกหลากหลายแบรนด์ให้เข้ามาอยู่ในมอลล์ ตอบสนองทุกความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแบบไร้พรมแดนทั่วโลก
อีกภารกิจสำคัญคือการผลักดันแบรนด์ไทยให้ผงาดในวงการกีฬาระดับภูมิภาคหรือรีจินัล แบรนด์ เพราะหากวัดคุณภาพสินค้าและ “ราคา” ผู้บริโภคอาเซียนเปิดใจยอมรับ “วอริกซ์” ค่อนข้างมาก อีกทั้ง “กีฬา” เป็นภาษาสากลสื่อสารให้คอเดียวกันเข้าใจได้ว่า “วอริกซ์” เป็นแบรนด์ไทยที่มีฐานผลิตในอาเซียน ทั้งเวียดนาม ลาว อินโดนีเซีย เป็นต้น
ล่าสุด บริษัทได้ผนึกพันธมิตรเพื่อจัดตั้งบริษัทในมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น เพื่อขยายธุรกิจสินค้ากีฬา โดย “ญี่ปุ่น” จะเข้าไปดูแลลิขสิทธิ์เสื้อผ้ากีฬาให้กับทีมในเจ-ลีก ดิวิชั่น 2 ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป เพื่อเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการเสริมแกร่งให้แบรนด์ไทยเป็นที่รับรู้และยอมรับในเวทีอาเซียนมากขึ้นด้วย
ทว่า การขยายอาณาจักรย่อมๆ ให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม มีโจทย์ท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะ “เงินทุนหมุนเวียน” เพราะตั้งแต่ก่อร่างสร้างตัวเงินทุนที่จำกัด ต้นทุนทางการเงินที่สูงเป็นอุปสรรคสำคัญ ทำให้บริษัทปรับโครงสร้าง วางโมเดลธุรกิจใหม่ให้แข็งแกร่งและเตรียมพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อระดมทุนราว 200-300 ล้านบาท
หากระดมทุนได้ตามเป้าหมาย จะนำไปใช้ตามลงทุน 5 ปี โดยเฉพาะทางด้านซอฟต์แวร์ ทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ยกระดับเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์(AI) บิ๊กดาต้า ฯ รองรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ แล้วยกเลิกแผนสร้างคลังสินค้า หันไปใช้บริการบริษัทในเครือทีวีไดเร็คแทน
แผนดังกล่าวจะผลักดันรายได้ 5 ปี แตะ 2,000-3,000 ล้านบาท ส่วนโครงสร้างรายได้ในอนาคต “ออนไลน์” จะเป็นพระเอกทำเงินมากกว่า 50% จากที่ผ่านมาสินค้าเสื้อผ้ากีฬาสร้างรายได้กว่า 90%
“ธุรกิจก็เหมือนกับการแข่งขันกีฬา ผมไม่ต้องการเป็นขึ้นโพเดียมที่ 1 แต่ชอบหาช่องว่างตลาดที่เกิดจากการสร้างดีมานด์ใหม่ สนุกกับการแข่งขันมุ่งสู่เป้าหมายของตัวเอง เมื่อผิดพลาดยอมรับ เรียนรู้ เหมือนแข่งแล้วแพ้ซ้อมใหม่ให้ชนะ เพราะตลาดสินค้ากีฬามีคู่แข่งที่เป็นแชมป์มาราธอนวิ่งมา 35 ปี เริ่มอ่อนแรง จึงเป็นโอกาสของเด็กใหม่ การเป็นผู้ตามท้าทาย และสนุกหากสามารถล้มยักษ์ได้ และจะมีแจ๊ค ผู้ฆ่ายักษ์มาล้มเราอีกที”
ภายใต้สถานการณ์เปราะบางจากโรคโควิด-19 ถือเป็นตัวแปรสำคัญต่อรายได้ ซึ่ง วิศัลย์ ไม่กล้ามองระยะไกลนัก แต่หากให้วาดเส้นทางอนาคตอยากเป็นบริษัทไทยที่มียอดขายระดับหมื่นล้านบาท!!