JMT - ซื้อ
ประมาณการ 1Q64F: กำไรโตช้าลงจากมาร์จิ้นชะลอตัว
Event
ประมาณการ 1Q64
Impact
ใม่เร่งซื้อสินทรัพย์ใน 1Q64
โดยการซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหารอยู่ที่ประมาณ 1.2 พันล้านบาทใน 1Q64 (จากแผนปีนี้ที่จะซื้อ 6 พันล้านบาท และการซื้อประมาณ 3.5 พันล้านบาทในปี 2563) ที่ระดับราคาเท่า ๆ กับที่ซื้อมาในปี 2562-2563 คือประมาณ 12% +/- ของมูลหนี้คงค้าง (Face value) ทั้งนี้ บริษัทเผยว่าธนาคารต่าง ๆ ยังคงเก็บสินทรัพย์ที่ด้อยคุณภาพเอาไว้ในโครงการผ่อนผันหนี้ ซึ่งมีการต่ออายุออกไปจนถึงกลางปี 2564 ทำให้ไม่เห็นการลดลงของราคามากนัก นอกจากนี้ยังคาดว่าราคาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจะยังคงอยู่ที่ระดับเดิมเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับผู้ขาย และคุณภาพของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพเอาไว้
มาร์จิ้นกลับมาชะลอตัว
มาร์จิ้นของบริษัทดีขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมาจากการเร่งติดตามหนี้ส่วนที่มีต้นทุนต่ำทำให้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้น จาก <60% เป็น 73% ในไตรมาส 1Q63 อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และพยายามเร่งบันทึกการตัดจำหน่าย (amortization) ของสินทรัพย์ของสินทรัพย์ จะทำให้ค่าใช้จ่ายโตในเร่ง เพิ่มขึ้นมากกว่ารายได้ใน 1Q64F ดังนั้น เราจึงคาดว่า GPM จะลดลง QoQ เหลือ 67% ใน 1Q6421 (จาก 71% ใน4Q63 และ 69% ใน 1Q63)
คาดว่ากำไรสุทธิใน 1Q64 จะอยู่ที่ 288 ล้านบาท (-13% QoQ, +39% YoY)
เราคาดว่ารายได้จากการรับจ้างติดตามหนี้จะทรงตัว ในขณะที่รายได้จากการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจะลดลง 22% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 18% YoY ทั้งนี้ กำไรที่ลดลง QoQ จะสะท้อนถึงยอดติดตามหนี้ที่สูงตามปัจจัยฤดูกาลใน 4Q63 อย่างไรก็ตาม กำไรที่เพิ่มขึ้น YoY จะสะท้อนถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นและประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนในการดำเนินงานที่ดีขึ้น หรือสัดส่วน C/I ที่ลดลง
Valuation and action
จากการแปลง warrant รอบล่าสุด (ใช้สิทธ์ิได้ทุกสิ้นไตรมาส) JMT ได้เม็ดเงินทุนใหม่ที่ใส่เข้ามาในบริษัทประมาณ 1.8 พันล้านบาทใน 1Q64 ทำให้คาดว่าสัดส่วน D/E จะลดลงไปจนต่ำกว่า 1x ใน 1Q64F (จาก 1.3x ใน 4Q63) เงินสดก้อนนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถซื้อสินทรัพย์ได้ตามแผนเพื่อสร้างการเติบโต
ในระยะยาว ถึงแม้ว่าผลประกอบการในไตรมาสแรกจะดูชะลอตัว (กำไรสุทธิใน 1Q64 คิดเป็น 20% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา) แต่เราคาดว่ากำไรของ JMT จะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ และประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 58.00 บาท ซึ่งเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มผลประกอบการที่จะชะลอตัวลงในระยะสั้น เราแนะนำให้ซื้อเมื่ออ่อนตัว
Risks
Margin ลดลง, ไม่สามารถซื้อสินทรัพย์ได้ตามแผน, ติดตามหนี้ได้ต่ำกว่าแผนที่วางไว้, และต้นทุน amortization เพิ่มขึ้น