สแกน ‘2หุ้นไอพีโอ’ OR-TIDLOR ฟีเวอร์ !

สแกน ‘2หุ้นไอพีโอ’ OR-TIDLOR ฟีเวอร์ !

สแกนหุ้น 'OR-TIDLOR' 2 หุ้นไอพีโอ สร้างกระแสฟีเวอร์ในสังคม ! ผ่านมุมมองนักลงทุนรายใหญ่ 'โจ-อนุรักษ์' และ 'เสี่ยป๋อง-วัชระ' เมื่อมนต์ขลังวิธีกระจายหุ้นแบบ Small Lot First ยังไม่จืดจาง สะท้อนผ่าน 'เงินติดล้อ' งัดกลยุทธ์เลือกเดินตามรุ่นพี่ 'โออาร์'

กลับมาเป็นกระแส 'ฟีเวอร์' (Fever) ขึ้นใหม่อีกครั้ง !! หลัง บมจ. เงินติดล้อ หรือ TIDLOR ผู้ให้บริการสินเชื่อทะเบียนรถภายใต้แบรนด์ 'เงินติดล้อ' เตรียมเสนอขายหุ้น IPO หรือหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ด้วยวิธีการกระจายหุ้นแบบ 'Small Lot First' (ซื้อน้อยได้ก่อน) ซึ่งเป็นทางเดินเดียวกับ 'รุ่นพี่' ที่เข้าตลาดหุ้นก่อนหน้าและประสบความสำเร็จอย่างสูง บมจ ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.ปตท. หรือ PTT และ บมจ. เงินติดล้อหรือ TIDLOR ที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา หรือ BAY

หากลองพิจารณาดู ทำไม ? หุ้นไอพีโอทั้ง 2 ตัว (OR-TIDLOR) เลือกเข้าระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ด้วยการกระจายหุ้นแบบ Small Lot First นั้น ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากความสำเร็จของการระดมทุน และด้วย 'จุดเด่น' ของการใช้วิธีแบบหุ้น OR-TIDLOR ปฏิกิริยาแรกที่เห็นตอนเป็นหุ้น IPO คือ 'กระแสหุ้นถูกคนพูดถึงในวงกว้าง' และเมื่อมีคนมีส่วนร่วมจำนวนมาก สิ่งที่ตามคือความ 'คึกคัก' เมื่อหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถึงขั้นช่วงเวลาตอนนั้นหุ้น OR ยังถูกขนานนามว่า 'หุ้นไอพีโอมหาชน' แห่งปี 2564 ด้วยจำนวนผู้ที่ได้รับจัดสรรหุ้นจองมากสุดในประวัติศาสตร์กว่า 5.3 แสนราย ! ​โดยทำระบบออนไลน์ของ 3 แบงก์ใหญ่ล่มในวันแรกที่เปิดจอง 

โดยหุ้น OR เทรดวันแรกราคาพุ่ง 47.20% มาอยู่ที่ 26.50 บาท จากราคาไอพีโอ 18 บาท และน้องเล็กล่าสุดหุ้น TIDLOR ที่ต้องรอลุ้นว่าจะประสบความสำเร็จตามรอยรุ่นพี่เป็นรายต่อไปหรือเปล่า หุ้นจะเข้าซื้อขาย 10 พ.ค.นี้ ในราคาหุ้นละ 36.50 บาท !

161977490697

ขณะที่ 'ผลบวกทางอ้อม' ที่ได้รับคือ การที่แบรนด์ของบริษัทจะถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง และยิ่งทำให้คนรู้จักแบรนด์เพิ่มมากขึ้นไปอีกจากเดิม โดยไม่ต้องเสียเงินทำการตลาด สะท้อนผ่านเหมือนตอนที่หุ้น OR ทำสำเร็จมาแล้ว และถูกพูดถึงจำนวนมากตอนเป็นไอพีโอป้ายแดงที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะหนึ่งในผลดีเชื่อมโยงต่อไปยังธุรกิจของตัวเองได้

หากย้อนไปดูพบว่า หุ้นไอพีโอรุ่นพี่ที่ใช้วิธีการกระจายหุ้นแบบ Small Lot First มาก่อนแล้ว คือ หุ้น OR ที่สร้างกระแสหุ้นไอพีโอฟีเวอร์สุดๆ ถึงขั้นไปไหนมาไหนต้องได้ยินคนพูดถึงหุ้นไอพีโอตัวนี้ ซึ่งถูกกล่าวขวัญถึงนับแต่ช่วงการขายไอพีโอ ที่มีนักลงทุนและประชาชนทั่วไปให้ความสนใจและประสงค์จะเป็นเจ้าของหุ้นตัวนี้กันอย่างล้นหลาม

ขณะที่ หุ้น TIDLOR กำลังเป็นหุ้นอีกตัวที่สร้าง 'ความหวัง' ให้นักลงทุนรายย่อยที่ได้หุ้นจองซื้อตัวดังกล่าว แต่ปรากฎว่าหลังปิดจองหุ้นมีทั้งความผิดหวังและสมหวังให้นักลงทุนรายย่อย แต่สัดส่วนคนผิดหวังค่อนข้างเยอะ ด้วยหลายคนเช็กรายชื่อแล้วไม่พบว่าได้รับหุ้นจองดังกล่าว เนื่องจากหุ้นมีจำนวนน้อย !  

สอดคล้องกับ 'โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง' อดีตนายกสมาคม 'นักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ วีไอ' บอกกับ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' ว่า ผมไม่ได้จองซื้อ 'หุ้น TIDLOR' เพราะมองว่ามีการกระจายหุ้นให้นักลงทุนไม่เยอะ เนื่องจากมีการแบ่งหุ้นกระจายออกไปในหลายส่วน แต่ตอนจองซื้อ 'หุ้น OR' ผมจองซื้อซึ่งก็ได้รับการจัดสรรเข้ามาเหมือนๆ กับนักลงทุรายย่อยคนอื่นๆ โดยมองว่าตอนหุ้น OR เข้าระดมทุนบริษัทมีหุ้นไอพีโอกระจายให้รายย่อยสัดส่วนที่มากกว่า  

'เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง' นักลงทุนเจ้าของพอร์ตระดับ 'พันล้านบาท' ที่มีสไตล์ลงทุนแบบTechnical บอกว่า ส่วนตัวมีการจองซื้อหุ้นไอพีโอ 'ฮอตฮิต' ทั้ง OR และ TIDLOR ซึ่งในส่วนของหุ้น OR ได้รับจัดสรรประมาณ 4,000 หุ้น และได้รับสิทธิจากการถือหุ้น PTT มาอีก 10,000 หุ้น และในปัจจุบันได้มีการซื้อหุ้นเพิ่มในกระดานเข้ามาเติมในพอร์ตอีก 

ขณะที่หุ้น TIDLOR จองซื้อผ่านแบงก์เข้าไปแต่ประกาศรายชื่อออกมาผมไม่ได้รับหุ้น ซึ่งไม่แปลกใจเพราะว่ามีนักลงทุนสนใจจองเข้าไปเยอะมาก ดังนั้น ก็ต้องมีคนที่ได้และคนที่ไม่ได้หุ้น ! แต่ตัวเองได้หุ้น TIDLOR ในส่วนที่โบรกเกอร์จัดสรรให้ ส่วนตัวมองว่าการที่บริษัทจัดสรรหุ้นไอพีโอ TIDLOR มากระจายให้นักลงทุนรายย่อยก็ต้องชมเชย เพราะจริงๆ บริษัทจะไม่เลือดวิธีนี้ก็ได้เนื่องจากบริษัทไม่ได้มีผู้ถือหุ้นเป็นหน่วยงานรัฐ    

161977497573

เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง

สำหรับ 'ใครที่ได้หุ้นจองซื้อ TIDLOR ดีใจด้วย เพราะคุณจะได้ค่าขนมในวันที่หุ้นเข้าซื้อขายวันแรก (10 พ.ค.นี้) อย่างแน่นอน เพราะมองว่าวันแรกราคาหุ้นน่าจะยืนเหนือราคาจองได้'  

กระแสความต้องการหุ้น 'เงินติดล้อ' แรง !

'ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล' กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. เงินติดล้อ หรือ TIDLOR เปิดเผยว่าปรากฏว่าหลังการเปิดให้จองซื้อหุ้นของผู้จองซื้อรายย่อยในประเทศเมื่อวันที่ 22 -26 เม.ย. 2564 ที่ผ่านมา ภายหลังการปิดจองซื้อ พบว่ามีผู้จองซื้อรายย่อยแสดงความสนใจจองซื้อหุ้น TIDLOR เป็นจำนวนมาก ซึ่ง หลังเปิดจองซื้อหุ้นได้เพียง 2 วัน พบว่ามีนักลงทุนจองซื้อหุ้นมากกว่า 100,000 และด้วยจำนวนรายการและยอดจองซื้อทั้งหมดมีจำนวนสูงกว่าจำนวนหุ้นที่จะจัดสรรเป็นจำนวนมาก และเกินกว่าที่จะสามารถจัดสรรจำนวนหุ้นขั้นต่ำในรอบแรกให้แก่ผู้จองซื้อรายย่อยได้ครบทุกราย จากการแจก (Random) ให้กับนักลงทุนที่จองคนละ 1,000 หุ้น

ดังนั้น ดำเนินการจัดสรรหุ้นให้แก่ผู้จองซื้อรายย่อยแต่ละรายจำนวน 1,000 หุ้น ตามจำนวนจองซื้อขั้นต่ำ 1,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 36.50 บาท จนครบจำนวน 75,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นจำนวนผู้จองซื้อรายย่อยที่ 75,000 ราย ซึ่งจะส่งผลให้มีผู้จองซื้อรายย่อยบางรายไม่ได้รับการจัดสรรหุ้น หรือได้รับการจัดสรรไม่ครบตามจำนวนที่จองซื้อในครั้งนี้ 

สำหรับในแง่ของธุรกิจ บริษัทยังมอง 'โอกาส' ในการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งจะเป็นธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำ ที่จะเข้ามาต่อยอดและเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจหลักของบริษัทที่เป็นธุรกิจปลายน้ำจากการมองหาโอกาสในการซื้อ และ ควบรวมกิจการ (M&A) ซึ่งทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน และการขยายธุรกิจออกไปในประเทศ 'กลุ่มอาเซียน' โดยประเทศที่บริษัทให้ความสนใจ และ ตรงกับเกณฑ์การขยายธุรกิจของบริษัท ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์ และ เวียดนาม

โดยตั้งเป้ารายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า จากปีก่อนที่มีรายได้ 10,558.90 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ 92% รายได้ธุรกิจนายหน้าขายประกันวินาศภัย 8% มีแผนขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการขยายสาขาเพิ่มอีก 500 สาขาในช่วง 2-3 ปี หลังจากเข้าตลาด จากปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 1,500 สาขา และการขยายสินเชื่อควบคู่ไปกับการบริการผ่านช่องทางออนไลน์

161977504543

ปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล

นอกจากนี้ บริษัทจะมีรายได้เสริมจากธุรกิจนายหน้าขายประกันวินาศภัย เป็นอีกปัจจัยผลักดันการเติบโตของรายได้ สะท้อนผ่าน 'ธุรกิจนายหน้าประกันภัย' มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และเป็นแรงผลักดันมูลค่า และการเติบโตที่สำคัญ โดยเงินติดล้อมีค่าเบี้ยประกันวินาศภัยที่ขายได้ในปี 2561-2563 อยู่ที่ 1,917.70 ล้านบาท 2,854.30 ล้านบาท และ 4,010.90 ล้านบาท ตามลำดับ ด้วยอัตราเติบโต 48.8% และ 40.5% ในปี 2562 และ 2563 ตามลำดับ

'ธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน' ในภาพรวมธุรกิจมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านมียอดสินเชื่อคงค้างในปี 2561-2563 อยู่ที่ 39,724.10 ล้านบาท 47,979.40 ล้านบาท และ 51,331.20 ล้านบาท ตามลำดับ และธุรกิจมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วภายหลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเงินติดล้อให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า ช่วยลดอัตราการเพิ่มบุคลากร และ เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ส่งผลให้เงินติดล้อมีลูกค้าที่ทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีลูกค้าชำระเงินกู้ และ ค่างวดเบี้ยประกันรถยนต์ทางออนไลน์กว่า 1.1 ล้านรายการ ในปี 2563 

ท้ายสุด 'เงินติดล้อ' ยังมีแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย และ มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ มีนโยบายการตั้งสำรองที่รัดกุม มีอัตราส่วน NPL Coverage สูงถึง 325.1% และ สามารถรักษาอัตราส่วน NPL ให้อยู่ในระดับต่ำที่ 1.7% ณ สิ้นปี 2563

โบรกฯ มอง 'เงินติดล้อ' ธุรกิจแกร่ง 

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า หุ้น เงินติดล้อ หรือ TIDLOR มองว่าอาจจะมีผลกระทบชิ่งไปยัง Fast Track SET50 คือ TIDLOR ได้เข้าทันที ส่งผลให้หลักทรัพย์ที่มี Market Cap น้อยหลุดออกไป เหมือนคราว OR เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ หุ้น ทีทีดับบลิว หรือ TTW และ หุ้น เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ก็หลุดออกไป ซึ่ง candidate ที่เหลือปัจจุบันก็จะมี เช่น TOA , BAM ,COM7 ,VGI และ TU ก็อาจจะมีแรงขาย (Selling Pressure) ในช่วงเวลานั้น

ทั้งนี้ มีกองทุนประเภท Passive มีนโยบายลงทุนใน SET50 จำเป็นที่จะต้องขายออกไปแล้วนำ TIDLOR มาแทน แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพื้นฐาน อย่างไรก็ตามมีบางตัวลงแรงก่อนตอนหลุด แต่ต่อมาฟื้นตัว เช่น KKP ซึ่งก็เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานที่ดีเฉพาะตัวนั่นเอง

อีกทั้ง คาดว่าในช่วงที่ TIDLOR ยังไม่ได้เข้ามาซื้อขายในตลาดฯ จะมีการเก็งกำไร SAWAD กับ MTC ก่อน เพราะมีธุรกิจคล้ายคลึงกัน ตามปัจจัยจิตวิทยาทางบวก แต่เมื่อ TIDLOR เข้ามาซื้อขายในตลาดฯ อาจจะเป็นหนังคนละม้วนคือ อาจจะมีแรงขาย SAWAD กับ MTC เพราะถือเป็นสินค้าทดแทนกัน และ TIDLOR มีข้อดีคือ สดใหม่กว่า ด้านปัจจัยพื้นฐานก็ไม่ด้อย มี BAY เป็นบริษัทแม่ หรือเป็น Back อยู่

โดยตามปัจจัยพื้นฐาน คงคำแนะนำ 'ซื้อ' หุ้น SAWAD ราคาพื้นฐาน 98 บาท และ หุ้น MTC ราคาพื้นฐาน 85 บาท 

'ภาพรวมเรามองว่าธุรกิจ TIDLOR ค่อนข้างน่าสนใจ จากการเติบโตของสินเชื่อรวม และค่าธรรมเนียมการขายประกัน นอกจากนั้นยังมีคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดย NPL Ratio อยู่ระดับต่ำ และ Coverage Ratio อยู่ระดับสูง'