GPSC พร้อมเดินเครื่องโรงงานแบตฯไตรมาส 2 -กำไรไตรมาส 1/64 โต25%
"โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่" เผยโรงไฟฟ้าขยะ - โรงงานแบต พร้อมเริ่มดำเนินการในไตรมาส 2 นี้ ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 มีกำไร 1,973.47ล้านบาทโต 25% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ขายบริษัทย่อย และเงินปันผล
บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า สำหรับความคืบหน้า โครงการของบริษัททั้ง 4 โครงการ โดยจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 2 นี้ ได้แก่ โครงการบริหารจัดการขยะครบวงจร Rayong Waste to Energy (WTE)มีแผนจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และโรงงานผลิตหน่วยกักเก็บพลังงาน(Energy Storage Unit) | 30 MWh Semi-Solid จะเริ่มผลิต และส่งมอบผลิตภัณฑ์ได้ และเดินกำลังผลิตได้เต็มกำลัง 30MWh ในช่วงปลายปีนี้
ขณะที่อีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการหน่วยผลิตไฟฟ้าและไอน้ำจากกากน้ำมัน Energy Recovery Unit (ERU) มีแผนดำเนินการเชิงพาณิชย์ปี 2566 และโครงการ SPP Replacement | Glow Energy Phase 2 คืบหน้า 25% ตามแผน
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทมีกำไร 1,973.47 ล้านบาท หรือ 0.70 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2563 ที่มีกำไร 1,579.88 ล้านบาท หรือ 0.56 บาท/หุ้น
กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ มีสาเหตุหลักจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีและกำไรจากการขายหุ้นในบริษัท โกลบอล รีนิวเอเบิลเพาเวอร์ จำกัด รวมถึง เงินปันผลรับจากบริษัท ราชบุรีเพาเวอร์ จำกัด
แม้ว่าผลจากการดำเนินงานในส่วนของโรงไฟฟ้าผู้ผลิตอิสระ (IPP)ลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของโรงไฟฟ้าเก็คโค่วัน และโรงไฟฟ้าโกลว์ไอพีพี ทำให้รายได้ค่าความพร้อมจ่ายลดลง แต่กลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) มี margin สูงขึ้นจากการปรับตัวลดลงของราคาก๊าซธรรมชาติและราคาถ่านหิน รวมถึงความต้องการใช้ไอน้ำที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าอุตสาหกรรม