ท่องเที่ยว ‘หัวหิน’ ชี้ 10 พื้นที่นำร่อง เสริมแกร่งไทยสู้ศึก ‘เปิดประเทศ’ ดึงทัวริสต์!
หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) ครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้พิจารณาเห็นชอบผ่อนคลายอีก 4 พื้นที่ ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี กรุงเทพฯ และบุรีรัมย์ ให้เป็นพื้นที่นำร่อง
เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบแล้วสามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2564 เป็นต้นไป ร่วมกับ 6 พื้นที่ที่รัฐบาลประกาศตามโรดแมพเปิดประเทศก่อนหน้านี้ ได้แก่ ภูเก็ต กระบี่ พังงา สุราษฎร์ธานี (สมุย-พะงัน-เต่า) ชลบุรี (พัทยา) และเชียงใหม่ รวมเป็น 10 พื้นที่นำร่องเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่และภาพรวมของประเทศ
กรด โรจนเสถียร คณะกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและนายกสมาคมสปาไทย กล่าวในฐานะประธานภาคเอกชนของโครงการ “หัวหิน รีชาร์จ” ว่า การเปิดพื้นที่นำร่อง 10 พื้นที่ในไตรมาส 4 นี้จะช่วยทำให้ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 3.5 ล้านคน สร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยว 2.98 แสนล้านบาท
“เรียกได้ว่าเป็นความหวังแก่ภาคท่องเที่ยวไทย ในช่วงที่หลายๆ ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังสร้างแคมเปญการเปิดประเทศเช่นเดียวกับไทย การเพิ่มพื้นที่นำร่องจะช่วยเสริมบทบาทแก่ไทยในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น ผนึกกับมีการกระจายวัคซีนแก่คนไทยอย่างทั่วถึงมากขึ้นตามมติล่าสุดของคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ โดยทางโครงการหัวหินรีชาร์จเตรียมประชาสัมพันธ์ไปทั่วโลกถึงความพร้อมของหัวหินอีกด้วย”
ทั้งนี้คาดว่าตลอดไตรมาส 4 ปีนี้ หัวหินจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา 1 แสนคน สร้างรายได้การท่องเที่ยว 1,200 ล้านบาท หลักๆ เป็นการรับนักท่องเที่ยวจากสนามบินสุวรรณภูมิ นั่งรถยนต์ตรงมาที่พื้นที่เทศบาลเมืองหัวหินเลย โดยไม่แวะจอดระหว่างทาง ดำเนินตามแนวทางปฏิบัติที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
สำหรับภาพรวมธุรกิจท่องเที่ยวในเทศบาลเมืองหัวหิน ปัจจุบันมีโรงแรมที่ขึ้นทะเบียนกับเทศบาลฯจำนวน 182 แห่ง มีจำนวนพนักงานโรงแรมทั้งหมด 22,350 คน ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังหัวหินทั้งจากตลาดในและต่างประเทศเมื่อปี 2562 ก่อนเจอวิกฤติโควิด-19 พบว่ามีนักท่องเที่ยวไทย 5,589,060 คน สร้างรายได้ 25,768 ล้านบาท ส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติมี 1,649,963 คน สร้างรายได้ 17,392 ล้านบาท รวมสร้างรายได้การท่องเที่ยวแก่หัวหินที่ 43,161 ล้านบาท
และหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบ “ปรับแนวทางการฉีดวัคซีน” เพื่อเร่งฉีดเข็มแรกให้กับประชาชน เริ่มเดือน มิ.ย.นี้ ผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ 1.กลุ่มที่มีการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นหรือไลน์แอด “หมอพร้อม” 2.การจัดขอเข้ารับวัคซีนเป็นหมู่คณะ เช่น ในโรงงานหรือสถานประกอบการขนาดใหญ่ และ 3.เปิดให้ประชาชนทั่วไปวอล์คอินเข้ารับวัคซีนด้วยตัวเองโดยไม่ต้องนัดหมายล่วงหน้า ตามจุดบริการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาสำหรับประชาชนบางกลุ่มที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี หรือติดปัญหาในการจองวัคซีน ให้เข้าถึงได้มากที่สุด
กรด กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับแนวทางการฉีดวัคซีนดังกล่าวตรงกับสิ่งที่ภาคเอกชนอยากได้กันมานานแล้ว! นับว่าเป็นข่าวดีมากๆ โดยเฉพาะช่องทางที่ 2 ให้ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นั้นๆ สามารถนัดหมายเพื่อฉีดวัคซีนเป็นหมู่คณะแก่ภาคเอกชนที่พร้อม แทนที่จะรอฉีดให้กลุ่มสูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปหรือกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว 7 โรคก่อน ซึ่งทำให้เกิดภาวะ “คอขวด” เนื่องจากที่ผ่านมากลุ่มสูงวัยไม่สามารถเข้าถึงการลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมได้
“มองด้วยว่าช่องทางที่ 2 จะเป็นระเบียบดีกว่าช่องทางที่ 3 แบบวอล์คอินซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความสับสนในการกำหนดจำนวนวัคซีนสำหรับฉีดในแต่ละวันของแต่ละพื้นที่ ดังนั้นจึงควรมีการลงทะเบียนล่วงหน้าก่อนเพื่อลดความสับสนและวุ่นวาย โดยการวอล์คอินเข้ามาฉีดวัคซีนควรอยู่ในอีกสเต็ปที่ประเทศไทยมีวัคซีนจำนวนมหาศาลแล้ว”
และเมื่อคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติไฟเขียวให้ภาคเอกชนขอเข้ารับวัคซีนเป็นหมู่คณะได้ จึงได้ประสานไปยังนายแพทย์สุริยะ คูหะรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประธานโครงการภาครัฐของโครงการหัวหินรีชาร์จ เพื่อขอพิจารณาให้บุคลากรด้านท่องเที่ยวและบริการของหัวหินได้รับวัคซีนด้วย ทางนายแพทย์สุริยะแจ้งว่าถ้าขึ้นทะเบียนไว้แล้ว ยินดีจะทำตามความต้องการของภาคเอกชน แต่ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี เพราะวัคซีนที่ทาง สสจ.จะกำหนดให้แต่ละพื้นที่ของจังหวัดต้องชัดเจน เพื่อให้คนที่เดินทางไปฉีดได้รับความสะดวกด้วย
“คณะกรรมการโครงการหัวหินรีชาร์จเตรียมประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้โรงแรมและธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ ส่งจำนวนและรายชื่อบุคลากรที่พร้อมรับวัคซีน เพื่อเดินทางไปรับการฉีดวัคซีนพร้อมกัน ทาง สสจ.ก็จะสามารถส่งจำนวนวัคซีนได้ตามจำนวนที่ภาคเอกชนต้องการทันที ขณะเดียวกันเตรียมออกแคมเปญรณรงค์ในสัปดาห์หน้าให้คนในพื้นที่เทศบาลเมืองหัวหินเข้ารับการฉีดวัคซีนมากที่สุดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ เสริมสร้างความมั่นใจแก่ทั้งคนในพื้นที่เอง รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ”
สำหรับจำนวนวัคซีนที่โครงการหัวหินรีชาร์จต้องการฉีดให้คนในพื้นที่เทศบาลเมืองหัวหิน คิดเป็นจำนวนวัคซีนที่ต้องการทั้งหมด 353,498 โดส สำหรับประชากร 176,749 คน คาดหวังว่าจะได้รับวัคซีนครบทั้งหมดภายในเดือน ก.ย.2564 โดยจำนวนบุคลากรและแรงงานภาคท่องเที่ยวบริการทั้งหมดในเทศบาลฯอยู่ที่ 89,880 คน ซึ่งกำลังจะเป็นกลุ่มด่านหน้า ต้องได้รับวัคซีนครบ 100%