PSH จับ'อสังหา'ผสาน'เฮลธ์แคร์' ดันพอร์ตรายได้ประจำโต
'โควิด-19' ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 63 ติดลบ 30% ส่งผลปีนี้ต้องปรับแผนเน้นกลุ่มลูกค้ากลาง-บน รวมถึงผนึกธุรกิจโรงพยาบาลสร้างพอร์ตรายได้ประจำ หวังปีหน้ากำไรฟื้นใกล้เคียงปี 62 ที่ 5.3พันล้าน หลังเคลียร์สต็อก-ปรับต้นทุนเปิดโครงการ
สถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ปี 2563 'ติดลบ 30%' โดยตลาดคอนโดมิเนียมติดลบหนักสุดถึงระดับ 50% เนื่องจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติ-นักลงทุนหายหมด และการแข่งขันรุนแรงในแง่ลดราคาขายของผู้ประกอบการเพื่อเร่งระบายสต็อกคงค้างเก่าให้หมด
โดย บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ในเครือของ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH หนึ่งในผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จึงได้รับผลกระทบดังกล่าว สะท้อนผ่านผลประกอบการปี 2563 ลดลงมีกำไรสุทธิ 2,770.63 ล้านบาท จากปี 2562 ที่มีกำไรสุทธิ 5,358.81 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 1 ปี 2564 กำไรสุทธิ 606.14 ล้านบาท ลดลง 34.3% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 921.84 ล้านบาท
เมื่อธุรกิจอสังหาฯ โอกาสเติบโตระดับสูงคงยาก แม่ทัพใหญ่ของ PSH อย่าง 'ทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์' ประธานกรรมการบริหาร จึงให้นโยบายมาว่าอยากเห็นสัดส่วนรายได้ 3-5 ปีข้างหน้า พอร์ตของ PSH เป็นธุรกิจสุขภาพ 20% และธุรกิจอสังหาฯ เหลือ 80%
'ปิยะ ประยงค์' ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ในเครือของ PSH ให้สัมภาษณ์พิเศษ 'หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ' ว่า ในอดีตธุรกิจอสังหาฯ ของพฤกษาเคยเติบโตถึงระดับ 30% ต่อปี ทว่าตั้งแต่เศรษฐกิจซบเซาและประเทศไทยมีตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวในระดับต่ำ ฉะนั้น โอกาสที่ธุรกิจอสังหาฯ จะกลับไปเติบโตเฉกเช่นเดิมคงเป็นเรื่องยากมาก !
ดังนั้น หากยังคงยึดติดอยู่กับการดำเนินธุรกิจรูปแบบเดิมๆ โอกาสการเติบโตยั่งยืนย่อมยากขึ้น จึงต้องเดินแผนรักษาฐานที่มั่นในธุรกิจอสังหาฯ ด้วยการพัฒนาสินค้าตรงตามเป้าหมาย และเน้นจับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน และเป็นกลุ่มสินค้าที่ให้มาร์จินสูงสามารถทำกำไรได้ดี
พร้อมไปกับ 'การทำงานร่วมกัน' (Synergy) ใน 'ธุรกิจโรงพยาบาล' คือ โรงพยาบาลวิมุตที่เปิดเชิงพาณิชย์ไปเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นธุรกิจที่สอดรับกับเมืองไทยกำลังเข้าสู่ 'สังคมผู้สูงอายุ' (Aging society) โดยปรับพอร์ตรายได้ (Diversify) ด้วยการสร้างพอร์ต 'รายได้ประจำ' หรือ Recurring Income ที่สร้างสินทรัพย์ที่มั่นคงด้านรายได้ต่อเนื่อง ไม่สวิงตามความผันผวนของเศรษฐกิจมากนัก
อย่างไรก็ตาม ในระยะกลาง-ยาว คาดจะหารายได้ประจำจากการทำงานร่วมกันระหว่างธุรกิจอสังหาฯ และ ธุรกิจโรงพยาบาลมากยิ่งขึ้น เนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาลเป็นธุรกิจที่เป็นเทรนด์ของโลก โดยปัจจุบันเริ่มทำงานร่วมกันแล้ว ล่าสุด มอบสิทธิพิเศษให้กับลูกบ้านพฤกษาทุกโครงการที่โอนบ้านในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีราวๆ แสนครัวเรือน สามารถรับบริการด้านสุขภาพที่โรงพยาบาลวิมุต
รวมทั้งในระยะยาวพฤกษายังมีแผนที่จะร่วมมือกับโรงพยาบาลวิมุต เปิดศูนย์ดูแลสุขภาพ ประกอบด้วย คลินิก ศูนย์กายภาพ ศูนย์ดูแลและบริบาลผู้สูงอายุ รวมทั้งการให้บริการดูแลสุขภาพถึงบ้าน (Home Health Care) ในโครงการพฤกษาเพื่อสร้างชุมชนให้น่าอยู่และตอบสนองการใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างครบวงจร โดยเป็นเซอร์วิสของโครงการพฤกษาที่คิดค่าใช้จ่ายคาดว่ากลุ่มลูกค้าจะเป็นตลาดระดับกลาง-บน ขณะที่ลูกค้าระดับล่างอาจจะใช้เป็นเซอร์วิสในการใช้บริการโรงพยาบาลมากกว่า เช่น ตรวจสุขภาพ , ส่วนลดค่าห้อง , ยา
เขา แจกแจงต่อว่า สำหรับธุรกิจอสังหาฯ คาดปีนี้ภาพรวมตลาดโต 5% จากปีก่อนที่ติดลบ 30% คาดผ่านพ้น 'จุดต่ำสุด' ของธุรกิจแล้ว แต่ลดลงจากเป้าต้นปีที่คาดจะโต 9% หลังเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ แต่ตลาดแนวราบโดยเฉพาะบ้านเดียวโตโดดเด่นมากในปีนี้ สะท้อนผ่านไตรมาส 1 ปี 64 ตลาดแนวราบของพฤกษาโต 50%
ทั้งนี้ การโตตลาดแนวราบเกิดขึ้นจากชนชั้นกลางที่มีฐานเงินเดือนประจำราว 30,000-150,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป เป็นกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ขณะที่การระบาดโควิด-19 ทำให้แต่ละบริษัทให้พนักงานทำงานที่บ้าน (Work Form Home) ส่งผลให้เกิดความต้องการบ้านเดี่ยวเพื่อหาพื้นที่ในการทำงาน
ขณะที่ช่วงที่ผ่านมาบริษัทปรับพอร์ตลูกค้า โดยหันมาเน้นกลุ่มลูกค้ากลาง-บนมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 น้อย และปรับลดลูกค้ากลาง-ล่าง ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักเหลือ 50% เดิม 80% ซึ่งช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจชะลอตัว และโรงงานโยกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเวียดนาม ทำให้ลูกค้าระดับกลาง-ล่างได้รับผลกระทบและถูกซ้ำเติมจากโควิด-19 ซึ่งทำให้ลูกค้าถูกปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินสูงเฉลี่ย 7-8%
ทั้งนี้ ปีนี้มีแผนเปิดโครงการใหม่ รวม 29 โครงการ มูลค่ารวม 26,630 ล้านบาท เป็นทาวน์เฮาส์ 17 โครงการ มูลค่า 14,680 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 7,560 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 4,390 ล้านบาท โดยโครงการใหม่ที่เปิดในปีนี้จะเน้นกลุ่มลูกค้ากลาง-บน โดยเป้าหมาย 2 ปี (2565-2566) พอร์ตลูกค้าเปลี่ยนเป็นระดับล่าง 40% ระดับกลาง 40% และบน 20%
สำหรับ ผลประกอบการปีนี้คงเป้าหมายยอดขายที่ 32,000 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 21,900 ล้านบาท หรือ เติบโต 45% และ ตั้งเป้ารายได้ที่ 32,000 ล้านบาท จากปีก่อนมีรายได้ 29,200 ล้านบาท หรือเติบโต 10%
อย่างไรก็ตาม คาดในแง่ของกำไรในปี2565 มีโอกาสจะกลับมาใกล้เคียงกำไรปี 2562 ที่ระดับ 5,358.81 ล้านบาท หลังบริษัทเปิดโครงการใหม่ด้วยต้นทุนใหม่ รวมทั้งเคลียร์สต็อกเก่าหมดแล้ว นอกจากนี้บริษัทกำลังศึกษาธุรกิจใหม่ (New Business) เป็นธุรกิจเซอร์วิสบ้านหลังหมดประกัน เนื่องจากปัจจุบันความต้องการสูง และพฤกษามีจำนวนลูกบ้านมากคาดจะเห็นธุรกิจช่วงปลายปี โดยช่วงแรกอาจจะยังไม่เห็นกำไรเพราะว่าต้องทำการตลาดกับลูกค้าก่อน อาจะเป็นอีกช่องทางเสริมรายได้ใหม่
สำหรับธุรกิจโรงพยาบาลวิมุต คาดปีแรก (8 เดือน)มีรายได้ 400 ล้านบาท โดยคาดว่าธุรกิจจะสร้างรายได้ต้องใช้เวลา โดยในแผนธุรกิจบริษัทมีการขยายกลุ่มธุรกิจสุขภาพเพิ่มขึ้นโดยในระยะยาว โดยจะมีการขยายการลงทุนในธุรกิจสุขภาพด้วยการเพิ่มโรงพยาบาลในเครืออีก 2-3 แห่ง ซึ่งรูปแบบการเพิ่มโรงพยาบาลนั้นมีทั้งรูปแบบการลงทุนเองและการเข้าไปถือหุ้นในโรงพยาบาลพันธมิตร ซึ่งล่าสุดได้เข้าถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 51% ในโรงพยาบาลเทพธารินทร์