ไม่เล่นเกมเร็ว! ท่องเที่ยวฯย้ำแผนเปิดประเทศ เน้นค่อยเป็นค่อยไป เซฟทัวริสต์ 100% จากโควิด
“พิพัฒน์” ชี้แผนเปิดประเทศรับต่างชาติเที่ยวไทย เน้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ร่นระยะเวลาเปิดเมืองกรุงเทพฯเร็วขึ้น แม้คนกรุงจะได้รับวัคซีน 70% ก.ค.นี้ ย้ำต้องมีพื้นที่แซนด์บ็อกซ์นำร่องเพื่อเซฟทัวริสต์ มาเที่ยวไทยแล้วต้องไม่มีใครติดโควิด-19 กลับไป 100%
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลได้ประกาศเพิ่มพื้นที่นำร่องตามแผนเปิดประเทศอีก 4 พื้นที่ใหม่ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ได้แก่ กรุงเทพฯ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และบุรีรัมย์ ซึ่งจะทำให้มีพื้นที่นำร่องรวม 10 พื้นที่ในไตรมาสดังกล่าว คาดว่าผู้ที่อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล ได้แก่ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ จะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่สัดส่วน 70% ของประชากรทั้งหมด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ภายในเดือน ก.ค.นี้ เนื่องจากตามกำหนดจะมีการจัดสรรวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าเข้ามาเพิ่มในเดือน มิ.ย.นี้ จำนวน 6 ล้านโดส และในเดือน ก.ค.นี้อีกจำนวน 10 ล้านโดส ซึ่งจะมีการเร่งปูพรมฉีดให้เร็วที่สุด เพราะยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว หากยอดผู้ติดเชื้อใหม่ยังกระเพื่อมอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมได้
“มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลได้ภายในเดือน ก.ค.นี้ตามที่รัฐบาลประกาศ”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประชากรในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลจะได้รับวัคซีนครบ 70% จนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ภายใน 2 เดือนข้างหน้า กระทรวงการท่องเที่ยวฯประเมินว่ายังถือว่าเร็วเกินไปหากจะเปลี่ยนมาเปิดเมืองกรุงเทพฯรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาส 3 ปีนี้แทนกำหนดเดิมในช่วงไตรมาส 4 เนื่องจากกรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางของประเทศ มีนักเดินทางเข้าออกเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ ธุรกิจ และท่องเที่ยวจำนวนมาก ทำให้การควบคุมดูแลทำได้ยาก จึงต้องปล่อยให้พื้นที่กรุงเทพฯปลอดจากโรคโควิด-19 ก่อนอย่างน้อย 2 เดือน ตั้งแต่เดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ ก่อนเข้าสู่ช่วงเดือน ต.ค.หรือไตรมาส 4 ตามไทม์ไลน์เดิมที่กำหนดไว้
“เมื่อกรุงเทพฯมีภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วเดินทางมาเที่ยวภูเก็ตซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องแห่งแรกของประเทศไทย ผ่านโครงการ ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ก็จะมีความมั่นใจและเดินทางมาเที่ยวกรุงเทพฯมากขึ้น”
สำหรับข้อเสนอของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ได้ขอวัคซีนจากภาครัฐจำนวน 3.5 ล้านโดสเพื่อกระจายแก่บุคลากรภาคท่องเที่ยวให้ออกมาฉีดวัคซีนมากที่สุด ทางกระทรวงการท่องเที่ยวฯได้ขอให้สมาคมท่องเที่ยว ธุรกิจท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้อง สำรวจผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนจริงๆ หรือมีจำนวนคนตกหล่นไปว่ามีจำนวนเท่าไร เนื่องจากขณะนี้มีหลายพื้นที่ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยวหลัก จึงต้องสำรวจเพื่อยืนยันจำนวนผู้ที่ต้องการรับวัคซีนจริงอีกครั้ง โดยต้องแจ้งจำนวนกลับมาภายในวันที่ 10 มิ.ย.นี้ เพื่อดำเนินการจัดหาและกระจายวัคซีนอย่างเร็วที่สุด
ส่วนกรณีที่นายวิลเลียม เอ็ลล์วู๊ด ไฮเน็ค ประธานกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้งเครือไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ทำจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อยื่นข้อเรียกร้องเพื่อช่วยเหลือและเยียวยาภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 หนึ่งในนั้นคืออนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนแล้วเข้าประเทศได้โดยไม่ต้องกักตัว ทั้งนี้การยกเลิกการกักตัวไม่ควรจำกัดอยู่แค่เพียงพื้นที่นำร่อง แต่ควรถูกบังคับใช้ในทุกพื้นที่ของประเทศ
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อเรื่องนี้ว่า เบื้องต้นไม่ได้ขัดข้องกับข้อเสนอดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด เนื่องจากกรณีนี้ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยว่ามีมากน้อยแค่ไหนในการท่องเที่ยวในพื้นที่ประเทศไทยที่ยังพบการระบาดอยู่และประชากรในพื้นที่นั้นๆ และยังไม่ได้รับวัคซีนครบ 70% อาจมีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19
“เราต้องเซฟนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย เพราะหากนักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทยแล้วติดโควิด-19 กลับไป จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศไทยได้ ทำให้ในช่วงแรกๆ ของการเปิดประเทศ รัฐบาลต้องกำหนดพื้นที่นำร่องให้ต่างชาติที่จะเข้ามาเที่ยวไทยอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยจากโควิด-19 ก่อน”
โดยทางนายกรัฐมนตรีได้ประกาศแล้วว่าภายในสิ้นปี 2564 คนไทยต้องได้รับวัคซีนครบ 70% ของประชากรทั้งหมดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ หนุนการขับเคลื่อนแผนเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้แบบไม่ต้องกักตัวทุกพื้นที่ของประเทศไทย เริ่มวันที่ 1 ม.ค.2565 เป็นต้นไป ทั้งนี้นายกฯยังยืนยันเดินหน้าโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ว่าจะเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ เริ่มวันที่ 1 ก.ค.นี้
“มองว่าการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อสร้างความสบายใจและมั่นใจให้แก่ทั้งคนในประเทศและชาวต่างชาติที่จะเข้ามาเที่ยวไทย โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามา เมื่อกลับไปแล้ว จะต้องไม่ให้เกิดการติดโรคโควิด-19 ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพื่อไม่ให้ชื่อเสียงของประเทศไทยเสื่อมเสีย” รมว.การท่องเที่ยวฯกล่าว