AAV "คัมแบ็ค" นิวไฮรอบ 2 ปี
หลังนายกฯ ออกแถลงการณ์นับถอยหลังเปิดประเทศในอีก 120 วัน กลายเป็นกระแส “ทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์” ในทันที มีการออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างมาก แน่นอนว่าย่อมมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ซึ่งแต่ละฝ่ายก็มีเหตุผลของตัวเอง
โดยนายกฯ ยอมรับว่าการตัดสินใจครั้งนี้มาพร้อมกับความเสี่ยง เพราะเมื่อเปิดประเทศแล้วไม่ว่าจะเตรียมการมาดีขนาดไหน ก็มีโอกาสที่ผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้น แต่อีกมุมก็ต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของพี่น้องประชาชนและเศรษฐกิจในภาพรวมด้วย
เท่ากับว่าเวลานี้ประเทศไทยมีไทม์ไลน์ที่ชัดเจนแล้ว แต่การจะเปิดประเทศให้ได้ตามที่นายกฯ ตั้งเป้าหมายไว้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังสูง และต้องรอลุ้นว่าวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาโดยจองซื้อไปแล้ว 105.5 ล้านโดส จะส่งมอบได้ตามกำหนดหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้ทันกับการเปิดประเทศ
ทันทีที่นายกฯ ประกาศเปิดประเทศสร้างแรงกระเพื่อมไปทุกแวดวง โดยเฉพาะภาคเศรษฐกิจที่ดูจะตอบรับในเชิงบวก หลายธุรกิจคึกคักทันที นำโดยภาคการท่องเที่ยวที่ถูกพิษโควิดเล่นงานมาหลายรอบจนอาการโคม่า พอมีข่าวดีว่าจะเปิดประเทศก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
สะท้อนได้จากบรรดาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม สายการบิน สนามบิน กอดคอบวกรับข่าวดี ราคาพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรงจนทำนิวไฮเลยทีเดียว อย่างบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV เจ้าของสายการบินไทยแอร์เอเชีย ราคาหุ้น (17 มิ.ย.) “เทคออฟ” ทะลุแนวต้านสำคัญที่ 3 บาท ขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี ที่ 3.32 บาท เรียกว่า “คัมแบ็ค” กลับมาสู่จุดเดิมก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย
ถือว่าขณะนี้ AAV เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวแล้ว หลังถูกโควิดเล่นงานหลายระลอก จนผลประกอบการขาดทุนมา 2 ปีติด โดยปี 2562 พลิกขาดทุน 474 ล้านบาท มาปี 2563 ยิ่งเจ็บหนักขาดทุนมากถึง 4,764.09 ล้านบาท จากภาคการท่องเที่ยวที่แทบหยุดชะงัก หลังรัฐบาลใช้ยาแรงปิดประเทศเป็นเวลาหลายเดือน
มาปี 2564 อาการยังน่าเป็นห่วง โดยไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ขาดทุนอยู่ 1,864.58 ล้านบาท หลังเกิดการระบาดระลอก 3 ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนต้องกลับมายกระดับมาตรการคุมเข้มอีกครั้ง ส่วนไตรมาส 2 น่าจะขาดทุนหนักอีกไตรมาส หลังต้องประกาศหยุดบินและลดจำนวนไฟลท์ลงในหลายเส้นทาง
ราคาหุ้น AAV เริ่มปรับฐานเข้าสู่ช่วงขาลงตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2562 โดยลงมาทำจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เกือบหลุดต่ำกว่า 1 บาท เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2563 หลังการระบาดเริ่มรุนแรงขึ้น จนในที่สุดต้องมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ สั่งล็อกดาวน์เข้มเพื่อคุมโควิด
จากนั้นราคาหุ้นไปไหนไม่ได้ไกล ก่อนที่จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวช่วงปลายปีราวๆ เดือน พ.ย. 2563 หลังจำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ออกเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง เริ่มมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประกอบกับได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย การท่องเที่ยวของภาครัฐ ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ
หนุนราคาหุ้น AAV กลับมาแตะ 3 บาท อีกครั้งในช่วงกลางเดือน ธ.ค. 2563 ก่อนจะย่อตัวลงอีกช่วงปลายปี หลังเกิดการระบาดระลอก 2 ที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร จนมาถึงการระบาดในรอบล่าสุดนี้
ผลกระทบจากโควิดทำให้สภาพคล่องของบริษัทตึงตัว เนื่องจากต้องหยุดบินหลายเดือน แทบไม่มีรายได้เข้ามาเลย แต่ยังมีภาระค่าใช้จ่ายมหาศาล ทั้งเงินเดือนพนักงาน ค่าจอดเครื่องบิน บำรุงรักษาเครื่องบิน ค่าเช่าอาคาร และอื่นๆ อีกมากมาย แม้จะพยายามรัดเข็มขัดอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
โดยสถานการณ์ย่ำแย่เหมือนกันหมดทุกสายการบิน จนต้องออกมารวมตัวกันเพื่อขอความช่วยเหลือ “ซอฟท์โลน” จากรัฐบาล แต่ผ่านมาเป็นปียังคงไร้สัญญาณตอบรับ แต่ละบริษัทจึงต้องหาวิธีช่วยเหลือตัวเองกันต่อไป
ทั้งนี้ AAV ตัดสินใจปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ ซึ่งจะได้เงินทุนจากนักลงทุนรายใหม่เข้ามา 3,150 ล้านบาท ในรูปสัญญาเงินกู้แปลงสภาพ หรือ หุ้นกู้แปลงสภาพ ปลอดดอกเบี้ย ที่สามารถแปลงเป็นหุ้นสามัญของบริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด (TAA) ที่จะดันเข้าจดทะเบียนแทน AAV ซึ่งรวมแล้วจะได้เงินทุนจากการปรับโครงการครั้งนี้เกือบ 6 พันล้านบาท ต่อลมหายใจไปได้อีกอย่างน้อย 3 ปี
หากบริษัทปรับโครงสร้างสำเร็จได้ทุนใหม่เข้ามา และแผนการเปิดประเทศเดินหน้าได้ตามเป้าหมาย น่าจะเป็นสัญญาณบวกต่อการ “เทคออฟ” รอบใหม่ของ AAV แถมล่าสุดยังมีข่าวดีได้รับเลือกเข้า SET100 อีกช่วยหนุนราคาหุ้น แต่การ “คัมแบ็ค” จะไปได้ไกลแค่ไหนต้องขึ้นอยู่กับว่าเมื่อเปิดประเทศแล้วสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปด้วย