พาณิชย์เปิดเวทีนำผู้ประกอบการเจรจาขายสินค้าให้อินเดีย
“พาณิชย์”นำผู้ชนะการแข่งขันประกวดแผนธุรกิจ DTN Business Plan Award 2020 ในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร เจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้นำเข้าอินเดีย คาดตกลงซื้อขายไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท เผยยังสามารถใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอไทย-อินเดีย และอาเซียน-อินเดียในการส่งออกได้
นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Online Business Matching – OBM) ระหว่างผู้ประกอบการสินค้าอาหารและเกษตรแปรรูปไทยกับผู้นำเข้าอินเดีย ผ่านระบบ Zoom ว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้จัดทำโครงการ DTN Business Plan Award 2020 “ชี้ช่องทางโอกาส บุกตลาดด้วย FTA” โดยได้ทำการคัดเลือกผู้ประกอบการอาหารและเกษตรแปรรูป จำนวน 10 ราย ที่ผ่านการประกวดแผนธุรกิจ มาเจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์กับผู้นำเข้าของอินเดีย โดยได้รับการประสานงานติดต่อผู้นำเข้าจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงนิวเดลี เมืองเจนไน และเมืองมุมไบ จำนวน 34 รายมาเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย
โดยผู้ประกอบการของไทยทั้ง 10 ราย เป็นผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าอาหารและเกษตรแปรรูป มีสินค้าที่นำมาเสนอ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ธัญพืชอบกรอบชนิดแท่ง ผลิตภัณฑ์ขนมพริกกรอบผสมเมล็ดเจีย ผลิตภัณฑ์น้ำมะนาวคั้นสด 100% ผลิตภัณฑ์นมถั่วเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผสมเนื้อว่านหางจระเข้ ผลิตภัณฑ์เงาะอบแห้ง ผลิตภัณฑ์ข้าวกล้องอินทรีย์อบกรอบผสมมันฝรั่ง ผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์ข้าวป๊อป ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมะกรูดผสมสมุนไพรสกัด และผลิตภัณฑ์อาหารไทยสี่ภาคตำรับไทยโบราณ โดยมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้นำเข้าอินเดีย และคาดว่าจะเกิดมูลค่าการซื้อขายไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท
ทั้งนี้ หลังการเจรจาธุรกิจและหากสามารถตกลงกันได้ ผู้ประกอบการไทยยังสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-อินเดีย (บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2547) และเอฟทีเออาเซียน-อินเดีย (บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2553) ที่อินเดียได้มีการลด เลิกการเก็บภาษีศุลกากรกับสินค้าส่งออกจากไทยแล้วกว่า 5,220 รายการ เช่น อาหาร ผลไม้ อาหารทะเลกระป๋อง อาหารปรุงแต่ง และผักผลไม้แปรรูป เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันและส่งออกได้ดีขึ้น
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมฯ มีแผนที่จะจัดทำโครงการ DTN Business Plan Award 2021 อีกในปี 2565 โดยมีเป้าหมายที่จะช่วยผู้ประกอบการในการทำตลาดต่างประเทศ โดยใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอ ซึ่งเบื้องต้นกำหนดไว้ว่าจะเป็นตลาดจีน ส่วนกลุ่มสินค้า จะยังคงเป็นเกษตรและอาหาร แต่ก็อาจจะพิจารณาสินค้ากลุ่มอื่น ๆ ด้วย