อสังหาฯชง‘5ข้อเสนอ’ ลดผลกระทบคำสั่งหยุดก่อสร้าง
ช็อก!!! มาตรการด่วนปิดแคมป์ก่อสร้าง 1เดือน อสังหาฯ แนะถอดโมเดลตลาดกลางกุ้ง ลดผลกระทบกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก อนุญาตแคมป์กับไซต์คนงานอยู่ที่เดียวกันทำงานได้ ประหยัดงบเยียวยา
นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่า หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้มีการปิดแคมป์คนงานเป็นเวลา 1 เดือนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลรวมไปถึงพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย สงขลา นราธิวาส ยะลา และปัตตานี ที่มีการแพร่ระบาดเริ่มวันจันทร์ ที่ 28 มิ.ย. ยังมีความสับสนอยู่ในรายละเอียดถึงแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน ซึ่งเข้าใจได้ว่ารัฐบาลพยายามจะแก้ปัญหา แต่มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบรุนแรง เนื่องจาก 1.เป็นการหยุดกิจกรรมในการก่อสร้างและธุรกิจเชื่อมโยงทั้งต้นน้ำและปลายน้ำทั้งหมดมีมูลค่ามหาศาล โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่มีตัวคูณทวี (Multiplier effect) ทางเศรษฐกิจที่สูงจึงมีผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงตามไปด้วย 2. ต้องมีค่าใช้จ่ายในเรื่องงบประมาณในการชดเชยแรงงานทั้งหมด 3.ต้องใช้กำลังคนฝ่ายทหาร ตำรจหรือฝ่ายปกครองในการกำกับดูแลจำนวนมาก
ทั้งนี้ จึงมีข้อเสนอแนะที่มีแนวทางคล้ายคลึงกันโดยที่ไม่หยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจเชื่อมกันเหมือนกับที่ประกาศออกมา กล่าวคือ 1.กรณีที่แคมป์คนงานกับไซต์งานอยู่คนละที่กัน ควรเป็นการคุมการเดินทางระหว่างแคมป์คนงานกับไซต์งาน 2.กรณีแคมป์คนงานกับไซต์งานอยู่ที่เดียวกันควรเป็นการควบคุมไม่ให้ออกนอกพื้นที่เท่านั้น 3.ทั้ง 2 กรณีข้างต้น ยังคงใช้กำลังคนฝ่ายทหารตำรวจหรือฝ่ายปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงกำลังคนของฝ่ายผู้ประกอบการร่วมด้วยช่วยกันเพื่อเป็นการลดงบประมาณ 4.มีการตรวจเชิงรุกสำหรับแรงงานที่ติดโรคโควิดมีผลเป็นบวก ก็ทำการแยกออกไปทำการรักษา ส่วนแรงงานปกติก็ทำงานต่อไปได้ รัฐบาลไม่สูญเสียงบประมาณในการเยียวยา เพราะแยกคนป่วยออกไปรักษาแล้ว 5.รัฐบาลควรจะนำโมเดลการแก้ปัญหาที่เคยใช้ในตลาดกลางกุ้ง จ.สมุทรสาครมาประยุกต์ใช้ด้วยการล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่และมีมาตรการคุมเข้มในรัศมีรอบนอก
ทั้งนี้ เนื่องจากลักษณะแคมป์คนงานในไซต์งาน ในกรุงเทพฯ แคมป์คนงานกับไซต์งานมักอยู่คนละพื้นที่ เพราะมีพื้นที่จำกัด ขณะที่ปริมณฑลแคมป์คนงานในไซต์งาน มักอยู่ในพื้นที่เดียวกันหรือพื้นที่ใกล้เคียงไซต์งาน
หวังมาตรการแก้ปัญหาได้จริง
นายอธิป พีชานนท์ นายกกิติมศักดิ์ สมาคมอาคารชุดไทยและสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า คำสั่งปิดแคมป์คนงานเป็นเวลา 1เดือนเป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะเป็นคำสั่งจากรัฐ ที่พยายามจะแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ทางผู้ประกอบการอสังหาฯ พร้อมให้ความร่วมมือแต่อยากให้มาตรการที่ออกมาตอบโจทย์ทั้งเรื่องการแก้ปัญหาแพร่ระบาดและเศรษฐกิจด้วย
มาตรการครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการอสังหาฯ ในการส่งมอบโครงการให้ผู้ซื้อที่รอการโอน ซึ่งผู้ประกอบการไม่ต้องการผิดสัญญากับลูกค้า และความล่าช้าทำให้มีต้นทุนเกิดขึ้น ไม่ว่าะเป็นต้นทุนทางการเงิน ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่าย
"มองว่า หากแคมป์คนงานกับไซต์คนงานอยู่ในรั้วเดียวกันไม่ควรจะหยุดงาน ถ้าไม่ได้ติดโควิด รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องเยียวยา เพราะคนงานได้รายได้เต็มจากการทำงาน เท่ากับประหยัดงบที่มีอยู่จำกัดไปใช้อย่างอื่นที่เป็นประโยชน์มากกว่า ซึ่งคนงานก็อยากได้เงินเต็มๆ ไม่ใช่แค่ครึ่งหนึ่ง ต่อให้นั่งๆ นอนๆ แล้วได้ครึ่งหนึ่งเขาไม่ได้อยากได้เพราะไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายประจำวัน"
โดยธรรมชาติของคนงานรับเงินค่าจ้างมาใช้จ่ายบริโภควันต่อวัน ไม่ได้มีเงินเก็บในบัญชีเช่นมนุษย์เงินเดือน จึงต้องใช้เงินที่ตกเบิกได้เร็ว “วันต่อวัน” หรืออย่างช้ารายสัปดาห์
ขณะเดียวกัน การหยุดกิจกรรมก่อสร้าง 1 เดือนทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักแต่ก็ยังพอมีโอกาสที่ทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติได้ทันเวลา หลังจากที่ครบเดือน ผู้ประกอบการจะต้องเร่งการก่อสร้างให้ทันเวลาที่กำหนดด้วยการทำงานล่วงเวลา (โอที) แต่นั่นหมายความว่าแรงงานที่หายไปกลับมาทำงานได้ตามปกติ มิเช่นนั้นจะเกิดผลกระทบตามมาภายหลัง เพราะจำนวนแรงงานลดลง
รัฐบาลต้องมอง2ด้าน
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มาตรการดังกล่าว ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องปรับแนวทางดำเนินงาน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่พยายามเร่งโอน เนื่องจากคำสั่งที่ออกมาทุกแคมป์ก่อสร้างต้องหยุดการก่อสร้างหมด ซึ่งยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน “อยากให้รัฐบาลมอง 2 ด้านทั้งเศรษฐกิจและสุขภาพควบคู่กันในการออกมาตรการแต่ละครั้ง”
ในส่วนของบริษัทได้รับผลกระทบในการชะลอการเก็บรายละเอียดงานในโครงการคอนโดมิเนียมที่กำลังแล้วเสร็จ 2 โครงการได้แก่ โครงการเดอะทรี พัฒนาการ และ เดอะ ไพรเวซี่ เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ จากเดิมคาดเสร็จเดือน ต.ค. อาจเลื่อนเป็น เดือน พ.ย.-ธ.ค. ซึ่งยอมรับว่าเวลานี้ กังวลมาก เพราะ 2 โครงการนี้เป็นความหวังของปลายปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ยอดโอนสูงสุดคิดเป็นสัดส่วน 30% เพราะกลุ่มลูกค้ารอโอนเป็นคนไทย 80% ที่เข้ามาโอนมูลค่า 400-500 ล้านบาท ดังนั้นอาจหันมาให้ความสำคัญกับโครงการแนวราบที่กระจายตัวอยู่ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะคนงานอยู่ในแคมป์อยู่แล้วส่วนหนึ่งแทน