SFT แนวโน้มแข็งแกร่งในระยะต่อไป (15 ก.ย. 64)

SFT แนวโน้มแข็งแกร่งในระยะต่อไป (15 ก.ย. 64)

จะได้อานิสงส์อย่างเต็มที่จากสายการผลิตที่ห้าในไตรมาสที่สาม SFT เริ่มเปิดดำเนินการสายการผลิตที่ห้าเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564 เร็วกว่าเป้าเดิมใน 3Q64 เล็กน้อย

ซึ่งจะช่วยให้รายได้ใน 3Q64 เพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20 ล้านเมตร/ปี ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตรวมของงานพิมพ์ระบบ gravure printing เพิ่มขึ้น 15% นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนสำรองสำหรับสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งได้แก่ i) การแยกโรงงานผลิตออกเป็นสองส่วน และ ii) มีการแบ่งการทำงานเป็นสองกะ โดยแยกทีมกัน ดังนั้น เราจึงคาดว่าการดำเนินงานในงวด 2H64 น่าจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ทั้งนี้ จากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น และอุปสงค์ที่แข็งแกร่งทำให้เราคาดว่ารายได้ของ SFT ใน 3Q64 จะอยู่ที่ 232 ล้านบาท (+39% YoY, +5% QoQ) ซึ่งทำให้ยอดขายงวด 9M64 อยู่ที่ 636 ล้านบาท (+29%YoY) ถึงแม้ว่าผู้บริหารจะยังคงเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายเอาไว้ที่ปีละ 15%-20% แต่เรามองว่าเป้าดังกล่าวยังมี upside อีกจากสถานการณ์ COVID-19 โดยบริษัทบอกว่าได้รับผลกระทบสองด้านจาก COVID-19 ได้แก่ i) ทำให้โรงงานใหม่ล่าช้า โดยคาดว่าจะเสร็จภายใน 3Q65 แต่สายการผลิตที่ห้าน่าจะช่วยรองรับคำสั่งซื้อได้ และ ii) ทำให้มีการเลื่อนจัดงาน exhibition (จากปี 2564 ไปเป็น 2565) และมีการปรับมาใช้รูปแบบการประชุมออนไลน์แทน

 

คาดว่าอัตรากำไรจะแข็งแกร่งตามการเติบโตของยอดขาย

เราคาดว่าอัตรากำไรของ SFT จะยังคงแข็งแกร่งเนื่องจาก i) จัดหาวัตถุดิบเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว 5-6 เดือน ii) การประหยัดต่อขนาด ดังนั้น เราจึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจึงน่าจะเพิ่มขึ้นใน 2H64 โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน 3Q64 จะเพิ่มขึ้นเป็น 30.8% (+1.7ppts YoY, +0.1ppts QoQ) ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในงวด 9M64 เพิ่มขึ้น 2.2ppts เป็น 30.6% โดยสรุปแล้ว เราคาดว่ากำไรสุทธิของ SFT ใน 3Q64 จะอยู่ที่
39 ล้านบาท (+82% YoY, +6%QoQ)

 

กำไรจะแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2564-66 ขึ้นเฉลี่ย 20%

เนื่องจากกำไรสุทธิใน 2Q64 ดีกว่าประมาณการของเรา 38% ในขณะที่ผลประกอบการมีแนวโน้มจะแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 2H64 เราจึงทบทวนสมมติฐานของเราดังนี้ i) ปรับเพิ่มอัตราการเติบโตของยอดขาย~7% ii) ปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นอีก 0.2-0.4ppts และ iii) ปรับลดสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายลง 0.6ppts ทั้งนี้ เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-66 ขึ้นอีก ~20% ทำให้อัตราการเติบโตของกำไรปี 2564 อยู่ที่ 79% YoY, ปี 2565 อยู่ที่ 19% YoY และ ปี 2566 อยู่ที่ 17% คิดเป็นอัตราการเติบโตในช่วง 3 ปีที่ 36% CAGR

 

Valuation & action

เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 เป็น 9.50 บาท จากเดิมที่ 8.00 บาท โดยอิงจาก PER เท่าเดิมที่ 25.0x (ค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มนี้ในตลาดโลก +1.0 S.D.) และยังคงคำแนะนำ ซื้อ

 

Risks

ราคาวัตถุดิบผันผวน, เกิด disruption ในสายการผลิต, วัตถุดิบ และสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้วเสียหาย, ความเสี่ยงจากนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับฉลากพลาสติก, ความกังวลต่อสิ่งแวดล้อม, คู่แข่งรายใหม่, อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน