อสังหาฯตะวันตกโครงการเปิดใหม่เพิ่มสวนมูลค่าลดลง
เปิดข้อมูลอสังหาฯภาคตะวันตกครึ่งแรกปี 64 โครงการเปิดใหม่เพิ่มขึ้น 49.2 % จากฐานที่ต่ำกว่าปกติในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าลดลง 51.5 %คาดครึ่งปีหลังขายใหม่เริ่มฟื้นตัว
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยของภาคตะวันตก ซึ่งประกอบด้วยจังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ พบว่า อุปทานของยูนิตเปิดขายใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีจำนวน 886 ยูนิต เพิ่มขึ้น 49.2 % แต่เป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำกว่าปกติในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่ารวม 2,900 ล้านบาทลดลง 51.5 %
โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของยูนิตบ้านจัดสรรและอาคารชุดเปิดขายใหม่ 50.6 %และ47.1 %ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าลดลง51.5 % ส่งผลให้อุปทานที่อยู่อาศัยทั้งหมดที่มีการขายในพื้นที่ภาคตะวันตกมีจำนวนรวม5,737ยูนิตเพิ่มขึ้น 4.0 %และมีมูลค่ารวม 26,083 ล้านบาท แต่มีมูลค่าลดลง4.9 %
โดยมียูนิตขายได้ใหม่เพิ่มขึ้น 554 ยูนิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 ขณะที่มูลค่าลดลง 2,301 ล้านบาทลดลง43.2 %ส่งผลให้ยูนิตเหลือขายอยู่ในตลาด 5,183 ยูนิต และมีมูลค่ารวม23,781 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและมูลค่า 3.9 % และ 1.7 % ตามลำดับ โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของหน่วยทั้งอาคารชุดและบ้านจัดสรร
" ซัพพลายภาคตะวันตกมีสัดส่วน1.7% ของซัพพลายทั่วประเทศ โดยเพชรบุรีมียูนิตมากกว่าประจวบคีรีขันธ์ และมีสัดส่วนคอนโดถึง66% ขณะที่ประจวบฯสัดส่วนหลักจะเป็นบ้านเดี่ยว จากการสำรวจพบว่า มีการชะลอตัวของการเปิดขายใหม่ในพื้นที่ประจวบคีรีขันธ์ มีจำนวนลดลงถึง69.2% ขณะที่จังหวัดเพชรบุรีมียูนิตเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้นทั้งบ้านจัดสรรและอาคารชุด "
นายวิชัย กล่าวว่า ภาพรวมอุปสงค์ของยูนิตขายได้ใหม่จำนวนเพิ่มขึ้น5.1% หากพิจารณาอัตราดูดซับอาคารชุดและบ้านจัดสรร "คงที่" เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน หากมองภาพรวมทั้งปี 2564 คาดว่าจะมียูนิตที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาด 1,902 ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวม 8,710 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร 1,356 ยูนิต มูลค่ารวม 5,768 ล้านบาท อาคารชุด 546 ยูนิต มูลค่ารวม 2,942 ล้านบาท มียูนิตรอการขายสะสม 5,188 ยูนิต
โดยช่วงครึ่งหลังปี 2564 อัตราการขยายตัวของหน่วยโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เพิ่มขึ้น 157.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้น142.0 % เชื่อมั่นว่าสถานการณ์ของหน่วยเปิดขายใหม่ของพื้นที่ภาคตะวันตกจะปรับตัวดีขึ้นกว่าครึ่งแรกของปี64และในปี 2565 คาดว่า หากมีการกระจายวัคซีนได้ทั่วถึงจะทำให้สถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้มียูนิตที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น 2,261 ยูนิตคาดว่าจะส่งผลให้มียูนิตเหลือขายสะสมเพิ่มขึ้น โดยมีจำนวนหน่วย5,383 ยูนิต หรือ เพิ่มขึ้น 3.8 % เมื่อเทียบกับปี 2564
สำหรับแนวโน้มปี 2565 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าจำนวน 2,261 ยูนิตมูลค่า10,584 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย โครงการบ้านจัดสรร1,388 ยูนิต มูลค่า 6,221 ล้านบาท และอาคารชุด873 ยูนิต มูลค่า4,363 ล้านบาท คาดว่า ช่วงครึ่งแรกปี 2565 อัตราการขยายตัวของหน่วยโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่จะเพิ่มขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ประมาณ 21.8% และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 16.3 % ช่วงครึ่งหลังของปี 2565
ส่วนของหน่วยขายได้ใหม่ ศูนย์ข้อมูลฯ คาดการณ์ว่า ในปี 2564 ตลาดที่อยู่อาศัยในภาคตะวันตก จะมีหน่วยขายได้ใหม่จำนวน 1,382 ยูนิต มูลค่า 6,817 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรรประมาณ 909 ยูนิต มูลค่า 3,955 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 473 ยูนิต มูลค่า 2,862 ล้านบาท โดยคาดว่าในช่วงครึ่งหลังปี 2564 จะมียูนิตขายได้ใหม่มากกว่าครึ่งปีแรก 110.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าเพิ่มขึ้น135.2%
และในปี 2565 คาดการณ์ว่าจะขายได้ใหม่2,022ยูนิต มูลค่า 8,988 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรรประมาณ 1,042 หน่วย มูลค่ารวมประมาณ 4,622 ล้านบาท และโครงการอาคารชุดประมาณ 980 ยูนิต มูลค่า4,366 ล้านบาท คาดว่าครึ่งแรกปี 2565 ตลาดที่อยู่อาศัยในภาคตะวันตกจะมียอดขายที่ดีขึ้นกว่าครึ่งแรกของปี 2564 ประมาณ 60.8% และคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น36.6% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ขณะที่มูลค่าในครึ่งแรกของปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 83% และชะลอตัวลดลง5.8% ในช่วงครึ่งหลังปี 2565 โดยเป็นผลมาจากการคาดการณ์ภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศไทยสามารถกระจายวัคซีนได้ทั่วถึง ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่เกิดขึ้นในระดับที่สูงกว่าปี 2564 และคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะขยายตัว 4%
ทั้งนี้ หากพิจารณาหน่วยเหลือขาย ศูนย์ข้อมูลฯ คาดการณ์ว่า ในครึ่งหลังปี 2564 จะมีหน่วยเหลือขายในภาคตะวันตกจำนวน5,188 ยูนิต มูลค่ารวม 22,889 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร 2,553 ยูนิต มูลค่า 11,761 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 2,635 ยูนิต มูลค่า 11,128 ล้านบาท และในปี 2565 จะมีหน่วยเหลือขาย5,383 ยูนิต มูลค่า22,298 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรร2,478 ยูนิต มูลค่า 11,098 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด 2,905 ยูนิต มูลค่า11,200 ล้านบาท โดยอัตราดูดซับจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2565 เป็นต้นไป