จับตา "หุ้นยุโรป" ฟื้นตัวโดดเด่น พร้อมพัฒนาสู่ยุคใหม่
จากสถานการณ์การฟื้นตัวของยุโรปในรอบนี้ จึงไม่ใช่เพียงการฟื้นตัวจาก COVID-19 เพื่อกลับเข้าสู่สภาพเดิม แต่เป็นการฟื้นตัวไปพร้อมกับการพัฒนาและพลิกโฉมใหม่ จึงไม่น่าแปลกใจว่าในช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูนี้ ยุโรปจะเป็นภูมิภาคที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นยุโรป ไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเท่าไหร่นัก จากประเด็นปัญหาต่างๆ ของประเทศสมาชิกในกลุ่มที่ฉุดรั้งให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นยุโรปไม่เติบโตเท่าที่ควร แต่ในปีนี้ไปจนถึงปีหน้าเป็นอย่างน้อย ภาพเศรษฐกิจและการลงทุนของยุโรปจะเปลี่ยนไป เม็ดเงินลงทุนจะทยอยหลั่งไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นยุโรปที่เคยเงียบเหงาให้กลับมาโดดเด่นอีกครั้ง
ยุโรป เป็นภูมิภาคที่ฟื้นตัวจาก COVID-19 ได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ โดยล่าสุดเมื่อสิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยุโรปมีประชากรที่ได้รับวัคซีน COVID-19 ครบโดส (Fully Vaccianted) ถึง 70% ของประชากรทั้งหมด ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีประชากรที่ได้รับวัคซีนครบโดสประมาณ 50% ของประชากรทั้งหมด การระดมฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็วนับเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ยุโรปเริ่มกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
การฟื้นตัวของยุโรปสะท้อนออกมาที่ตัวเลขผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในยุโรป (STOXX600) ไตรมาส 2/2564 ที่มีบริษัทที่สามารถสร้างผลกำไรได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ถึงกว่า 63% ในขณะที่ปกติแล้วในช่วงไตรมาสนี้ บริษัทจดทะเบียนในยุโรป (STOXX600) จะสามารถสร้างผลกำไรได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดประมาณ 50% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด และจากข้อมูลของ Bloomberg พบว่า ในไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทจดทะเบียนในยุโรป (STOXX600) มีอัตราการเติบโตของผลกำไรเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วสูงที่สุด โดยอยู่ที่ 268% รองลงมาคือ ญี่ปุ่น (TOPIX) 193% และอินเดีย (NIFTY) 128% ในขณะที่สหรัฐฯ (NASDAQ) อยู่ที่ 104% และจากแนวโน้มการฟื้นตัวของยุโรปที่ทำได้อย่างโดดเด่น ส่งผลให้นักวิเคราะห์ปรับเพิ่มคาดการณ์ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ขึ้น ในขณะที่ทางธนาคารกลางยุโรป ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ขึ้นเช่นกัน จาก 4% เป็น 4.6% เพื่อให้สอดคล้องกับภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากวัคซีนแล้ว อีกเครื่องมือหนึ่งที่ทางยุโรปประกาศใช้เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ คือ โครงการ NextGenerationEU เป็นแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยงบประมาณกว่า 8 แสนยูโร ซึ่งนับว่า เป็นงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงที่สุดของยุโรป โดยแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ NextGenerationEU เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2021 ถึงปี 2023 หลังจากนั้นจะถูกนำไปรวมกับแผนระยะยาวปี 2021 - 2027 ของยุโรป โดยกว่า 50% ของงบประมาณในแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ NextGenerationEU นี้ มุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนกลุ่มธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัล พลังงานสะอาด และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
การฟื้นตัวของยุโรปในรอบนี้ จึงไม่ใช่เพียงการฟื้นตัวจาก COVID-19 เพื่อกลับเข้าสู่สภาพเดิม แต่เป็นการฟื้นตัวไปพร้อมกับการพัฒนาและพลิกโฉมใหม่ให้กับยุโรป จึงไม่น่าแปลกใจว่าในช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูนี้ ยุโรปจะเป็นภูมิภาคที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม โดยข้อมูลจาก GoldmanSachs พบว่า ในปีนี้นับตั้งแต่ต้นปี เม็ดเงินลงทุนในกองทุนรวมที่ไหลเข้ามาที่ยุโรปคิดเป็นมูลค่าสูงที่สุดในรอบ 6 ปี และแม้จะมีเม็ดเงินลงทุนจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นยุโรปในปีนี้ แต่ยังถือเป็นสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ไหลออกจากยุโรปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ในด้านมูลค่าของหุ้นยุโรปยังถือว่าถูกมาก โดย STOXX600 ของยุโรปมี Fwd P/E เพียง 16 เท่า ในขณะที่ S&P 500 มี Fwd P/E อยู่ที่ 22 เท่า
การพื้นตัวที่โดดเด่น ด้วยแผนการฉีดวัคซีนที่เป็นไปตามเป้าหมาย การระดมเงินสนับสนุนการฟื้นฟูกิจการด้วยเม็ดเงินมหาศาล ในขณะที่มูลค่าหุ้นยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป โดยอาจเน้นลงทุนในกลุ่ม Clean Energy กลุ่ม Digital และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตอย่างกลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มอาหาร เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของยุโรปอย่างสูงสุด
หากท่านใดมีข้อข้องใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินของตนเอง สามารถส่งคำถามของท่านมาได้ที่ [email protected] I บทความโดย ณัฐพร ธรวงศ์ธวัช AFPTTM Wealth Manager ธนาคารทิสโก้