"สสว." จับมือ "ส.อ.ท." พาเอสเอ็มอีขายสินค้าผ่าน "Shopee"
"สสว."- "ส.อ.ท." นำเอสเอ็มอีกว่า 200 ราย นำร่องขายสินค้าผ่าน Shopee สร้างรายได้นับล้าน จับคู่ธุรกิจได้ 170 คู่ คาดต่อยอดซื้อขายได้กว่า 100 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถต่อยอดการซื้อขายได้ต่อเนื่องมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า แม้ว่าวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็นจำนวนมาก แต่ในความยากลำบากนี้ สสว. ก็ได้เห็นถึงโอกาสใหม่ ๆ ของเอสเอ็มอี ในอีกหลาย ๆ ด้าน ซึ่งหากสามารถปรับตัวรับกับการเปลี่ยนเปลงที่เกิดขึ้นได้ ก็จะเพิ่มศักยภาพได้มากในระยะยาว
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จึงได้ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในการจัดทำโครงการ “ไทยทำ ไทยช้อป ไทยใช้” Made in Thailand เพื่อช่วยเหลือและเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้สามารถปรับตัวก้าวพ้นจากวิกฤตในครั้งนี้ไปให้ได้ ผ่านทางการส่งออกไปยังตลาดการค้าที่สำคัญ และการเปิดตลาดใหม่ ๆ ภายในประเทศ ซึ่งการค้าออนไลน์คือโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการในการจำหน่ายสินค้าในช่วงวิกฤตโควิด-19 ทั้งจากผู้บริโภคที่หันมาซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์มากขึ้นหลายเท่าตัว และผู้ประกอบการก็ได้ปรับตัวไปสู่โลกการค้าออนไลน์เป็นจำนวนมาก
สสว. และส.อ.ท. จึงได้ร่วมกันเปิดตลาดการค้าออนไลน์ ภายใต้ชื่อร้าน “ไทยทำ ไทยช้อป ไทยใช้” Made in Thailand ผ่านทางเว็บไซต์ Shopee.com
27 สิงหาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2564 ตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าร่วมกว่า 200 ราย และมีสินค้ากว่า 700 รายการ ซึ่งคาดว่าตลอดระยะเวลา 33 วัน จะสร้างรายได้ให้ผู้ประกอบการไม่น้อยกว่า 25 ล้านบาท สำหรับกลุ่มสินค้าในโครงการ “ไทยทำ ไทยช้อป ไทยใช้” Made in Thailand ที่จำหน่ายผ่านเว็บไซต์ Shopee ที่ได้รับความนิยม 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. อาหารและเครื่องดื่ม 2. ต้นไม้ และ 3. อุปกรณ์สำนักงาน
อย่างไรก็ดี ประชาชนยังสามารถเข้าร่วมช้อปปิ้งได้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564 ผ่านทางเว็บไซต์ www.shopee.co.th/mitshopcampaign2021 หรือช้อปปิ้งผ่านทางแอปพลิเคชัน Shopee แล้วค้นหาชื่อร้าน “ไทยทำไทยช้อปไทยใช้” เพื่อเข้าไปเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างปลอดภัยไร้การสัมผัสได้ในร้านเดียว
“โครงการครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้เปิดตลาดการค้าใหม่ ๆ ผ่านทางระบบออนไลน์ และสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยเหลือด้านการตลาด และยังเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคชาวไทยเข้าไปอุดหนุนสินค้าดีจากชุมชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐาน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือให้ผู้ประกอบการไทยผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้” นายวีระพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ ภายในงานยังได้มีการจัดกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจตลาดในประเทศผ่านทางออนไลน์ ซึ่งสามารถเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการได้แล้วกว่า 170 คู่ โดยสินค้าที่ได้รับความสนใจมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม ของตกแต่งบ้าน คาดว่าจะมีการต่อยอดการซื้อขายของคู่เจรจาได้กว่า 100 ล้านบาท
โดยงานครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเพิ่มยอดขายให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี แต่ยังนำเอสเอ็มอีไทยเข้าสู่โลกการค้าออนไลน์ ที่มีโอกาสขยายมูลค่าการค้าได้อีกมาก และในอนาคต สสว. ก็จะร่วมมือกับ ส.อ.ท. ในการจัดงานในลักษณะนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยให้สินค้าเอสเอ็มอีเปิดออกสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น