ผลิตน้ำจืดจากทะเล สทนช.เล็ง “พัทยา-มาบตาพุด”
สทนช.ระบุผลศึกษาผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลคืบหน้า 89% เคาะกระบวนการ RO ตั้งสถานีนอกนอกเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด คาดเสร็จ ต.ค.นี้ พร้อมแลกเปลี่ยนเชิงเทคนิค 6 ประเทศ มุ่งเน้นแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอีอีซีอย่างยั่งยืน
การผลักดันเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะทำให้ความต้องการใช้น้ำภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตร ภาคบริการ รวมถึงการใช้น้ำของประชาชนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้องหาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นในหลายแนวทางรวมถึงการผลิตน้ำจืดจากทะเลที่อยู่ระหว่างการศึกษาและมีความก้าวหน้า 89% ในรูปแบบ Reverse Osmosis หรือ RO
สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงเทคนิค ครั้งที่ 3 โครงการศึกษาการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล (Desalination) เพื่อแก้ไขปัญหาความเสี่ยงของการขาดแคลนน้ำในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ว่า เป็นการแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับระบบผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลของประเทศไทยและต่างประเทศ ได้แก่ สเปน ฝรั่งเศส อิสราเอล จีน ญี่ปุ่นและสิงคโปร์
สำหรับประเทศไทย สทนช.ได้ร่วมกับสถาบันการขนส่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินโครงการศึกษาการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลเพื่อแก้ไขปัญหาความเสี่ยงของการขาดแคลนน้ำใน EEC ตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา โดยมีพื้นที่ศึกษาในจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง ซึ่งมีพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและเมืองพัทยา
การพัฒนาแหล่งน้ำทางเลือกที่ไม่จำเป็นต้องอิงสภาพน้ำฝน-น้ำท่าตามธรรมชาติ จะช่วยลดภาระการใช้น้ำดิบจากอางเก็บน้ำ สร้างความยืดหยุ่นด้านการใช้น้ำ สามารถนำน้ำดิบดังกล่าวไปวางแผนใชประโยชน์ เพื่อรองรับความตองการใชน้ำในพื้นที่อื่นหรือกิจกรรมอื่นที่จำเป็น รวมทั้งเป็นการลดความขัดแย้งระหว่างภาคส่วนต่างๆ และสรางความมั่นคงของทรัพยากรใน EEC ด้วย
นอกจากนี้ การดำเนินโครงการได้ศึกษาวิเคราะห์อย่างรอบด้าน เพื่อหาแนวทางความเป็นไปได้ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการคัดเลือกพื้นที่ตั้งระบบผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล อัตรากำลังการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลที่เหมาะสม การคัดเลือกเทคโนโลยีการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ผลกระทบการระบายน้ำทิ้งจากระบบผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล รวมไปถึงงานศึกษาในด้านสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐศาสตร์ กฎหมายและการลงทุน
ทั้งนี้ จากการประเมินความเสี่ยงของการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ศึกษา พบว่า พื้นที่การใช้น้ำในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดและนิคมอุตสาหกรรมใกล้เคียงมีความเสี่ยงจะเพิ่มในอัตราที่สูงกว่าพื้นที่จังหวัดชลบุรี โดยการวิเคราะห์อัตรากำลังการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลที่เหมาะสมจากการศึกษาสมดุลน้ำ และบ่งชี้ว่าสถานการณ์ความต้องการใช้น้ำในปี 2570 จำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบ Desalination บนพื้นที่บริเวณมาบตาพุด ขนาดไม่น้อยกว่า 1 แสน ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ต่อวัน
โดยจะต้องมีการผลิตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงควรมีการพัฒนาระบบสำรองเพิ่มเติมในปีที่มีปริมาณน้ำน้อยอีกประมาณ 1 แสน ลบ.ม.ต่อวัน และในปี 2580 จะมีความจำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบ Desalination บนพื้นที่บริเวณ “มาบตาพุด” ขนาดไม่น้อยกว่า 2 แสน ลบ.ม.ต่อวัน โดยจะต้องมีการผลิตอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงควรมีการพัฒนาระบบสำรองเพิ่มเติมในปีที่มีปริมาณน้ำน้อย อีกประมาณ 1 แสน ลบ.ม.ต่อวัน และการพัฒนาระบบ Desalination บนพื้นที่บริเวณ “พัทยา-ชลบุรี” ขนาดประมาณ 1 แสน ลบ.ม.ต่อวัน
นอกจากนี้ ได้มีการคัดเลือกเทคโนโลยีการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเลจากการตัดสินใจแบบหลายหลักเกณฑ์ พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่า กระบวนการ Reverse Osmosis หรือ RO เป็นการขับเคลื่อนน้ำทะเลผ่านสู่ระบบเยื่อกรองด้วยแรงดันสูง เป็นกระบวนที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด สามารถใช้ร่วมกับพลังงานทางเลือกได้ และมีความยั่งยืนมากกว่าเทคโนโลยีอื่น
ทั้งยังเป็นระบบที่ได้รับการพัฒนาจนมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CAPEX) ต่ำกว่ากระบวนการอื่น โดยผลการวิเคราะห์ประเมินตามเกณฑ์พิจารณา พบว่าพื้นที่มีศักยภาพสูงที่เหมาะสมสำหรับตั้งโรงผลิตน้ำจืดจากทะเลอยู่พื้นที่มาบตาพุด (นอกเขตนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด) อำเภอเมือง จังหวัดระยอง อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องพิจารณาเงื่อนไขของการสำรวจพื้นที่จริงและกระบวนการชดเชยที่ดินและทรัพย์สินตามหลักฐานการถือครองและการประเมินมูลค่าทรัพย์สินตามแนวองค์ประกอบโครงการต่อไป
“การศึกษามุ่งเน้นในแง่ของเทคโนโลยี การลงทุนที่คุ้มค่าและให้ความสำคัญด้านการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งในการศึกษาได้คัดเลือกระบบบำบัดขั้นต้นและระบบการจัดการเกลือเข้มข้นและน้ำทิ้งที่เหมาะสม รวมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบในการระบายน้ำทิ้งจากระบบผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ตั้งแต่กระบวนการสูบน้ำ กระบวนการผลิตน้ำจืด ไปจนถึงการกำจัดเกลือเข้มข้น”
รวมทั้งได้มีการทบทวน ศึกษา รวมถึงอาศัยแบบจำลองในการพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยจะศึกษาทบทวนสภาพสิ่งแวดล้อมปัจจุบันและแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในบริเวณพื้นที่ที่จะเสนอก่อสร้างระบบและสภาพแวดล้อมทางทะเล พร้อมศึกษาทบทวนมาตรฐานและแนวปฏิบัติของต่างประเทศในเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่โดยรอบ
พร้อมให้ความสำคัญกับการการชดเชยที่ดินและทรัพย์สินอย่างเหมาะสม โดยขณะนี้มีความก้าวหน้าของการดำเนินงาน 89% ซึ่งรวดเร็วกว่าแผนงานที่กำหนดไว้ คาดว่าโครงการศึกษาจะเสร็จกลางเดือน ต.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม จำเป็นจะต้องปรับแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วย ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เพื่อให้การขับเคลื่อนโครงการเป็นไปตามแผนที่วางไว้