"รายจ่ายต้องห้าม" คืออะไร? พร้อมเปิดวิธีเปลี่ยนเป็น "ค่าใช้จ่าย" ให้หักภาษีสูงสุด 2 เท่า!!
รู้จัก "รายจ่ายต้องห้าม" คืออะไร ? พร้อมเปิดเทคนิคประหยัดภาษี โดยการเปลี่ยนรายจ่ายต้องห้ามให้สามารถใช้เป็น "ค่าใช้จ่าย" ที่ "สรรพากร" ยอมรับ
ข้อดีอย่างหนึ่งของการจดบริษัท หรือจดเป็น "นิติบุคคล" คือ ภาษีคิดจากกำไรสุทธิ หลังหักค่าใช้จ่าย ดังนั้นหมายความว่า การบริหารค่าใช้จ่ายที่ดีจะสามารถทำให้กิจการประหยัดภาษีได้อย่างมาก
วันนี้เรามีเทคนิคประหยัดภาษี โดยการเปลี่ยน "รายจ่ายต้องห้าม" ให้สามารถใช้เป็น ค่าใช้จ่ายที่สรรพากรยอมรับ มาแนะนำกันค่ะ
รายจ่ายต้องห้าม คืออะไร?
รายจ่ายต้องห้าม คือ รายจ่ายที่สรรพากรกำหนดว่าไม่สามารถนำมาใช้เพื่อหักออกจากรายได้ในการคำนวณกำไรเพื่อเสียภาษีได้
เช่น รายจ่ายที่มีลักษณะดังต่อไปนี้
- รายจ่ายที่มีลักษณะเป็นการส่วนตัว ไม่เป็นไปตามระเบียบของกิจการ
- รายจ่ายซึ่งกำหนดขึ้นเองโดยไม่มีการจ่ายจริง
- รายจ่ายที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นผู้รับ
- รายจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม รายจ่ายค่าปรับ ค่ารับรอง
แต่จริงๆ แล้วเราสามารถเปลี่ยนให้ “รายจ่ายต้องห้าม” เป็นรายจ่ายที่ถูกต้อง และสรรพากรยอมรับ ให้ใช้เป็น "ค่าใช้จ่าย" ได้ โดยรายจ่ายนั้นต้องเอื้อประโยชน์ต่อกิจการ และสามารถพิสูจน์ได้ว่าจ่ายออกไปจริง สามารถนำมาใช้เป็นรายจ่ายในการคำนวณหักภาษี ทำให้กิจการสามารถประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ตามไปดูกันค่ะ ว่ามีรายจ่ายลักษณะไหนบ้าง และกิจการต้องทำอย่างไร จึงจะใช้ประโยชน์ทางภาษีจากรายจ่ายต้องห้ามเหล่านี้
1. ค่าศึกษา/อบรมพนักงาน มีใบเสร็จรับเงินถูกต้องสมบูรณ์และจ่ายเพื่อพัฒนาองค์กร
รายจ่ายที่เกิดจากการที่กิจการได้จ่ายเพื่อส่งให้พนักงานเข้ารับการศึกษาหรืออบรม หากมีใบเสร็จรับเงินของสถานศึกษา หรือสถานฝึกอบรม รวมถึงพนักงานที่ฝึกอบรมต้องกลับมาทำงานเพื่อสร้างประโยชน์พัฒนาองค์กรต่อไป รายจ่ายลักษณะนี้ไม่ถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม และยังนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า
โดยการฝึกอบรมแบ่งเป็น 2 กรณี คือ
1) In-house Training โดยบริษัทเป็นผู้จัดฝึกอบรมขึ้นเอง หรือจ้างบริษัทฝึกอบรมสัมมนาเข้ามาจัดฝึกอบรมให้
2) Public Training โดยส่งพนักงานไปรับการฝึกกับบริษัทฝึกอบรมสัมมนา สถานศึกษา หรือสถานฝึกอบรมฝีมือแรงงาน (ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา)
หากรายจ่ายการส่งพนักงานเข้าฝึกอบรมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 148) กิจการสามารถนำรายจ่ายดังกล่าวไปใช้หักภาษีได้มากถึง 2 เท่า อย่างเช่นจ่ายค่าอบรม 10,000 บาท สามารถนำมาคำนวณหักภาษีได้ 20,000 บาท
2. ค่าสัมมนานอกสถานที่ บริษัทระบุกฎระเบียบชัดเจนใช้โดยทั่วไปและเพื่อพัฒนาองค์กร
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักรายจ่ายที่จ่ายสำหรับค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอบรมสัมมนาภายในประเทศที่กิจการจัดขึ้นให้แก่ลูกจ้าง หรือรายจ่ายที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยว และมัคคุเทศก์ เพื่อการอบรมสัมมนาภายในประเทศ เป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง
เงื่อนไขคือต้องมีระเบียบชัดเจน และพนักงานทุกคนมีสิทธิเข้าร่วม รวมถึงเสริมสร้างความรู้เพิ่มเติมของพนักงาน และเอื้อประโยชน์แก่การพัฒนาองค์กรของกิจการ สามารถนำมาเป็นหลักฐานเพื่อใช้หักภาษีได้ ไม่ถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม
ที่สำคัญ รายจ่ายดังกล่าวต้องจ่ายไปภายในวันที่ 1 มกราคม 2563 – 30 กันยายน 2564 เท่านั้น
นอกจากนี้ยังสามารถนำค่าเดินทาง ค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก อาหารเครื่องดื่มที่เกี่ยวกับการสัมมนา รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสัมมนา เช่น ค่าวิทยากร ค่าวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบสัมมนา ค่าบันทึกภาพ ค่าจัดทำสื่อเกี่ยวกับการสัมมนา ที่มีใบกำกับภาษี และ “ไม่เป็นภาษีต้องห้าม” มาขอคืนภาษีซื้อได้ด้วย
กิจการต่างๆ ที่มี outing ประจำปีให้แก่พนักงาน รายจ่ายเหล่านี้จะสามารถนำมาหักค่าให้จ่ายได้ ตามที่จ่ายจริง แต่การ outing ดังกล่าวถือเป็นผลประโยชน์ที่พนักงานได้รับ จึงต้องนำไปรวมเป็นรายได้ของพนักงานเพื่อเสียภาษีบุคคลธรรมดาด้วย
ดังนั้น หากเราเปลี่ยนจากพาพนักงานไปพักผ่อนประจำปี เป็นการสัมมนา หรือ team building นอกสถานที่ นอกจากพัฒนาความรู้ของพนักงานแล้วยังสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า โดยที่ไม่ถือว่าเป็นผลประโยชน์ของพนักงานอีกด้วยค่ะ
3.บริจาคให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) มีใบเสร็จรับเงินถูกต้องสมบูรณ์
รายจ่ายของกิจการในการบริจาคให้กับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ในนามบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล โดยบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ให้แก่ กสศ. ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
และมีใบเสร็จรับเงินที่ถูกต้องสมบูรณ์ จึงจะถือเป็นรายจ่ายที่สรรพากรยอมรับ สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้ถึง 2 เท่าของรายจ่ายที่บริจาค ไม่ว่าจะบริจาคเป็นเงินหรือทรัพย์สิน
เงื่อนไขคือเมื่อรวมกับรายจ่ายที่เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนการศึกษาสำหรับโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการเห็นชอบ ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของกำไรสุทธิก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ และรายจ่ายเพื่อการศึกษา หรือเพื่อการกีฬาตามมาตรา 65 ตรี (3) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร
การบริจาคเงินให้แก่กองทุนนี้นอกจากจะประหยัดภาษีแล้ว ยังเปิดโอกาสให้กิจการได้ช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และมีส่วนช่วยในการลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษาอีกด้วย
สรุป
แนวทางการประหยัดภาษีนิติบุคคล โดยเปลี่ยนรายจ่ายต้องห้ามให้สามารถนำมาหักภาษีได้นั้น กิจการต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดข้อมูลในเอกสาร ใบเสร็จรับเงิน หรือหลักฐานต่างๆ ที่ใช้ประกอบการหักภาษี จำเป็นต้องครบถ้วนสมบูรณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้รายจ่ายดังกล่าวกลายเป็น รายจ่ายต้องห้าม
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปในการฝึกอบรมพนักงาน การออกไปสัมมนานอกสถานที่ รวมทั้งการบริจาคเงินให้แก่กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ที่จะสามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า ต้องเป็นไปตาม วิธีการ เงื่อนไข ที่สรรพากรกำหนดด้วยค่ะ
บทความโดย : Inflow Accounting