FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่น3เดือนข้างหน้า ลดลง1.1% แต่ยังร้อนแรง หวังวัคซีน
FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่น3เดือนข้างหน้าลดลงที่142.71 จุด แต่ยังร้อนแรง คาดหุ้นไทย 3 เดือนสุดท้ายปีนี้ อยู่ในเทรนด์ขาขึ้น จากเปิดเมือง-ฉีดวัคซีน คงมุมมองดัชนี 1,650 จุดในสิ้นปี64 และ ปี 65 ที่ 1,800 จุด
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนกันยายน 2564 พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index: ICI) ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลง 1.1% อยู่ที่ระดับ 142.71 อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” เช่นเดียวกับเดือนก่อนหน้า นักลงทุนคาดหวังแผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ Covid-19 เป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและเงินทุนไหลเข้า สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของ Covid-19 ระลอกปัจจุบัน รองลงมาคือผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED)
ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) สำรวจในเดือนกันยายน 2564 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
- ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ธันวาคม 2564) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (ช่วงค่าดัชนี 120-159) ปรับตัวลดลง 1.1% จากเดือนก่อนมาอยู่ที่ระดับ 142.71
- ความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ยังคงอยู่ในระดับ “ร้อนแรงอย่างมาก” ในขณะที่นักลงทุนบุคคลและกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงอยู่ในระดับ “ร้อนแรง” และนักลงทุนต่างชาติปรับลงมาสู่ในระดับ “ร้อนแรง” เช่นกัน
- หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด หมวดพาณิชย์ (COMM)
- หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดแฟชั่น (FASHION)
- ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ แผนการฉีดวัคซีนเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ Covid-19
- ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์ระบาดของ Covid-19 ระลอกปัจจุบัน
“ผลสำรวจ ณ เดือนกันยายน 2564 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่มขึ้น 7% อยู่ที่ระดับ 136.31 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่ม 3% อยู่ที่ระดับ 171.43 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศทรงตัว อยู่ที่ระดับ 133.33 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลด 11% อยู่ระดับ 142.86"
ในช่วงเดือนกันยายน 2564 SET Index แกว่งตัวในกรอบแคบระหว่าง 1,603-1,650 ถึงแม้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลง และรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังได้รับผลกระทบจากการระบาดของ Covid-19 สายพันธุ์เดลต้าซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศยังคงสูงกว่า 10,000 คนต่อวัน และจำนวนผู้เสียชีวิตยังคงสูงต่อเนื่องสัดส่วนประชากรที่ได้รับวัคซีนยังไม่ทั่วถึง แม้จะมีการทยอยฉีดวัคซีนกระตุ้นให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้วก็ตาม การเกิดสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินเศรษฐกิจในประเทศ และความกังวลในการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทเอเวอร์แกรนด์ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาขนาดใหญ่ของจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นของตลาดทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน ตลาดยังได้รับปัจจัยสนับสนุน
จากการที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐบาลมีมติปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะของไทยเป็น 70% ของ GDP เพื่อเพิ่มความสามารถของรัฐบาลในการใช้นโยบายการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการประกาศผ่อนคลายมาตรการ lockdown ซึ่งจะเริ่มเปิดให้กิจการหลายประเภทกลับมาเปิดดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 โดย SET index ณ สิ้นเดือนกันยายน 2564 ปิดที่ 1,605.68 จุด ปรับตัวลดลง 2% จากเดือนก่อนหน้า
ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การคาดการณ์ว่า Fed อาจประกาศ QE tapering อย่างเป็นทางการในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในเดือนพฤศจิกายนนี้ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้หุ้นใน Emerging market ปรับตัวลง ภาวะเศรษฐกิจจีนซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากวิกฤติขาดแคลนไฟฟ้าในประเทศ สภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซน และญี่ปุ่น ที่มีแนวโน้มดีขึ้นจากความสามารถในการควบคุมโรคระบาด อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามการ Lockdown ที่ยืดเยื้อในหลายประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม มาเลเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในภูมิภาค ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ แผนการเปิดประเทศของภาครัฐและความสามารถในการเร่งฉีดวัคซีนในประเทศซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้
แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ นายไพบูลย์ กล่างว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีเซนทริเม้นท์เชิงบวกมากกว่าลบ และเป็นขาขึ้นยาว ต่อเนื่องถึงปี2565 จากกรกระจายฉีดวัคซีนโควิด -19 ที่ีดีขึ้นเป็นนโยบายเชิงรุกมากกว่าเชิงรับและมีโอกาสเป็นไปตามแผนที่รัฐบาลวางไว้ได้ การเปิดประเทศในเดือน พ.ย. จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจและท่องเที่ยว เริ่มกลับมาฟื้นตัว
โดยยังคงมุมมองดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปแตะระดับ1,650จุดในสิ้นปีนี้ แต่ก็ขึ้นอยู่ปัจจัยหนุนดังกล่าวจะผลักดันเศรษฐกิจไปได้ดีแค่ไหน ขณะที่ความเสี่ยงต่อตลาดหุ้นปรับฐาน คือ การต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกรอบเมื่อยอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้นจนคุมไม่ได้ ดังนั้น เมื่อเริ่มเปิดเมืองในเดือนพ.ย. นี้ต้องติดตามว่าปะเด็นดังกล่าวต่อไป แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยบวกทั้ง2เรื่องว่า จะผลักดันเศรษฐกิจดีแค่ไหน
ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยปี2565นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดจะอยู่ที่ระดับ1,750จุด และส่วนตัวประเมินไว้ที่ระดับ1,800จุด เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมา พร้อมวางเป้าจีดีพีปี2565โตระดับ3.67%จากปีนี้ที่คาดทำได้ราว0.68% คาดว่า ปีหน้ามีโอกาสปรับจีดีพีขึ้นมากกว่าลง หากภาครัฐจัดการปัญหาโควิด-19และ วัคซีนได้ดีต่อเนื่อง