EEC กับโอกาสและศักยภาพของอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรไทย ตอนที่ 2
อุตสาหกรรมการแพทย์ไทยเติบโตด้วยปัจจัยขับเคลื่อนครบวงจร ข้อมูลจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ประมาณการมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมการแพทย์ของประเทศไทยว่า มีมูลค่าตลาดกว่า 16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 5.60 แสนล้านบาท
อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรของประเทศไทยประกอบด้วย 3 อุตสาหกรรมย่อย ได้แก่
-การให้บริการการแพทย์สมัยใหม่
-การวิจัยและผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์
-การวิจัยยา-ผลิตเวชภัณฑ์
โดยมูลค่าส่วนใหญ่ของตลาดอุตสาหกรรมการแพทย์ของประเทศไทยจะอยู่ในอุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ และอุตสาหกรรมยาคือ ค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลประมาณ3.68 แสนล้านบาท การผลิตและ/หรือจำหน่ายยา 1.52 แสนล้านบาท และการผลิตและ/หรือจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์เวชภัณฑ์ 0.40 แสนล้านบาท ตามลำดับ
อุตสาหกรรมการแพทย์
ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานพยาบาลทั่วประเทศจำนวนมากกว่า 38,500 แห่ง โดยในจำนวนนี้ มีบริษัทมหาชนที่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 23 ราย และเป็นธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน182 ราย ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนของคนไทยมูลค่า 115,231 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 98 ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2559 รายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมีจำ นวน 232,421 ล้านบาท โดยมีจำนวนผู้ป่วยคนไทยร้อยละ 93.5 ของผู้ป่วยรวม ส่วนจำนวนผู้ป่วยต่างชาติมีร้อยละ 6.5 โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Tourist & Medical Tourist) มีจำนวนรวมกันเกือบร้อยละ 70 ของตลาดผู้ป่วยต่างชาติทั้งหมด ข้อมูลจากการจัดอันดับของ Global Wellness Institute พบว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยติดอันดับ 13 ของโลก สามารถสร้างรายได้มากกว่า 9.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ The International Healthcare Research Center (IHRC) ระบุว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของประเทศไทยติดอันดับ 6 ของโลก โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ร้อยละ 38 ของจำนวนนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในภูมิภาคเอเชียทั้งหมด และตลาดมีแนวโน้มเติบโตราวร้อยละ 14 ต่อปี โดยประมาณการว่า ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยต่างชาติมากกว่า 4 ล้านคน ตลอดปี พ.ศ. 2560
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์
การเติบโตของตลาดเครื่องมือแพทย์ของประเทศไทยที่ผ่านมานั้นได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความได้เปรียบด้านคุณภาพการบริการ และมาตรฐานการรักษาที่เอื้อต่อนโยบายการเป็นศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ของประเทศไทยรวมทั้งผลจากการผลักดันนโยบายศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ของภาครัฐทำ ให้การจำหน่ายเครื่องมือแพทย์ในประเทศและต่างประเทศ สามารถขยายตัวได้เฉลี่ยร้อยละ 8.0 และร้อยละ 3.1 ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยประเทศไทย ถือเป็นทั้งผู้นำเข้า และผู้ส่งออกเครื่องมือแพทย์ที่สำคัญในกลุ่มอาเซียน (สัดส่วน 27:73) การนำเข้าส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตค่อนข้างสูง ขณะที่สินค้าที่ประเทศไทยผลิตเพื่อส่งออกส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์ขั้นพื้นฐานที่ใช้วัตถุดิบในประเทศในการผลิต อาทิ ยาง และพลาสติกเป็นหลัก
ในปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยมีการส่งออกเครื่องมือแพทย์มูลค่าราว 102,475 ล้านบาท เป็นสินค้ากลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์มากที่สุด (ร้อยละ 84) รองลงมา คือ กลุ่มครุภัณฑ์ทางการแพทย์ (ร้อยละ 16) และกลุ่มชุดน้ำยาและวินิจฉัยโรค (ร้อยละ 0.5) ส่วนการนำเข้าเครื่องมือแพทย์ มีมูลค่า 62,131 ล้านบาท เป็นสินค้ากลุ่มวัสดุสิ้นเปลืองทางการแพทย์มากที่สุด (ร้อยละ 42) อันดับสองคือ กลุ่มครุภัณฑ์ทางการแพทย์ (ร้อยละ 41) และกลุ่มชุดน้ำยาและวินิจฉัยโรค (ร้อยละ 17) สำหรับตลาดเครื่องมือแพทย์ในประเทศมีมูลค่า 44,600 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 จากปีก่อนหน้า เนื่องจากภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนด้านการวิจัย รวมทั้งส่งเสริมการผลิตและส่งออกในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น
อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์
อุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบันของประเทศไทยส่วนใหญ่จะอยู่ในขั้นปลาย คือ การผลิตยาสำ เร็จรูป ส่วนมากยาที่ผลิตได้ในประเทศจะเป็นยาชื่อสามัญ (Generic Drugs) ที่ผู้ผลิตจะนำ เข้าวัตถุดิบสำคัญจากต่างประเทศมาผลิตเป็นยาสำเร็จรูปในรูปแบบต่างๆ (ประมาณร้อยละ 90 ของวัตถุดิบทั้งหมด) กลุ่มยาที่มีมูลค่าการผลิตสูงสุด ได้แก่ กลุ่มยาแก้ปวด/แก้ไข้ ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ผลิตยาแผนปัจจุบัน (ข้อมูล ณ มกราคม 2561) ที่ได้รับมาตรฐานการผลิต (Good Manufacturing Practice: GMP) จำ นวน 161 ราย ยาที่ผลิตในประเทศส่วนใหญ่จะใช้บริโภคในประเทศเป็นหลัก คิดเป็นร้อยละ 95 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด ขณะที่ผู้ผลิตมีการส่งออกประมาณร้อยละ 5 ของปริมาณการผลิตยาทั้งหมด ในปี พ.ศ. 2560 ประเทศไทยมีปริมาณการผลิตยารวม 42,695.7 ตัน และมีมูลค่าการจำหน่ายยาในประเทศอยู่ที่ประมาณ 169 พันล้านบาท ส่วนมากเป็นการจำหน่ายยาผ่านโรงพยาบาลกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าตลาดยาทั้งหมด ด้านการค้ายาระหว่างประเทศ
อุตสาหกรรมการแพทย์ไทยมีความได้เปรียบจากองค์ความรู้ทรัพยากร และบุคลากรคุณภาพสูง
ในบรรดาอุตสาหกรรมกลุ่ม New Engine of Growth ทั้งหมด อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร หรือ Medical Hub ถือได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไปมากที่สุดเนื่องจากครอบคลุมเรื่องสุขภาพทั้งระบบของประชาชนในทุกด้าน และทุกระดับ ทั้งในด้านของการบำบัดรักษา และการเสริมสร้างสุขภาพ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆได้แก่
ผู้ให้บริการทางการแพทย์สมัยใหม่อาทิ โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชนศูนย์วิจัยโรคเฉพาะทาง ศูนย์ฟืนฟู และส่งเสริม ผู้ป่วย และบริการอื่น ๆ
บริษัทวิจัย และผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ และ
บริษัทวิจัยยาและผลิตเวชภัณฑ์
ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ระบุว่า อุตสาหกรรมการแพทย์ของประเทศไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขัน ค่อนข้างสูงทั้งในภาคการผลิตและบริการโดยเฉพาะอุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์ และบริการเสริมสร้างสุขภาพ ความได้เปรียบในส่วนการบริการทางการแพทย์ของประเทศไทยเกิดจากการที่ประเทศไทยมีทรัพยากรที่เอื้อต่อการทำ ธุรกิจในลักษณะดังกล่าวกล่าวคือ มีทุนทรัพยากรมนุษย์ที่สามารถพัฒนาเพื่อรองรับการบริการ มีสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวในเชิงธรรมชาติที่มีความสมบูรณ์และเหมาะสมกับการฟื้นฟูสุขภาพ และมีองค์ความรู้ในด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทยทั้งยาสมุนไพรและการนวดแผนไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ทั้งยังมีค่ารักษาและค่าครองชีพที่ไม่สูงมากนัก ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจบริการเสริมสร้างสุขภาพ ขณะที่ประเทศไทยก็มีศักยภาพในการผลิตวัตถุดิบสำ หรับภาคการผลิตของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ด้วยเช่นกัน เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงประกอบกับมีลักษณะภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการทำ การเกษตร ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถผลิตพืชผลทางการเกษตรได้หลากหลาย ทั้งยังมีความเข้มแข็งในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติของประเทศไทยในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเสริมสร้างสุขภาพ อาทิ เครื่องสำอางจากสมุนไพร ยาสมุนไพรด้วย
บทความโดย ดร.อรุณ ศิริจานุสรณ์ (นักวิชาการอิสระ / ผู้อำนวยการสถาบันพรีโม่ อะคาดิมี่)