รีเฟล็กซ์ตรึงน้ำมันดีเซล กระทบหุ้น 4 ปั๊มรายใหญ่ไทย
การดำเนินการนโยบายทางราคาพลังงานในไทย ด้วยการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลถือว่าเป็นการแทรกแซงตลาดเพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนลดค่าครองชีพ และลดภาระต้นทุนภาคเอกชน หากแต่อีกด้านย่อมมีผลกระทบต่อหุ้นในกลุ่มปั๊มน้ำมันรายใหญ่ของไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้
สาเหตุในการเข้าแทรกแซงครั้งนี้มาจากราคาพลังงานโลกพร้อมใจกันปรับตัวขึ้นยกแผง ทั้งราคาน้ำมันดิบแตะ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลสูงสุดในรอบ 3 ปี ราคาถ่านหินที่พึ่งแตะ 230 ดอลลาร์ต่อตันสูงสุดในประวัติศาสตร์ ยิ่งราคา LNG ที่ปรับตัวสูงขึ้น ปัจจุบันราคา SPOT อยู่ที่ 32-34 ดอลลาร์ ต่อล้านบีทียู สอดคล้องกับราคาแก๊สธรรมชาติแตะ 6.82 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 7 ปี ตั้งแต่ปี ก.พ. 2557 หรือยุคก่อนที่สหรัฐจะสามารถผลิตน้ำมันได้จากหินน้ำมันได้ในปี 2551 ก็ไม่เคยมีสัญญาซื้อขายล่วงหน้าก๊าซธรรมชาติ (ท่าเรือเฮนรี่)เคยปิดเหนือ 4 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียูมาก่อน
การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานในรอบนี้กลับไม่เป็นผลดีต่อนโยบายฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลก ที่เตรียมจะฟื้นตัวหลังการระบาดใหญ่ของโควิด-19 จนทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ เนื่องจากมีปัจจัยนอกเหนือฤดูกาลเข้ามาหนุนราคาพลังงาน เช่น “วิกฤติขาดแคลนพลังงานของจีน” การกักตุนสินค้าน้ำมันในอังกฤษ และ ความขัดแย้งของรัสเซียที่เป็นผู้ขายก๊าซรายใหญ่ของโลกกับยูเครน
ปัจจัยดังกล่าวทำให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติล่าสุดอุ้มน้ำมันดีเซล ให้อยู่ที่ระดับไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ผ่านแนวทางปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของดีเซล B7 จาก 1 บาท เหลือ 0.1 บาท มีผลให้ราคาลดลงทันทีลิตรละ 1 บาท เพื่อกดราคา B7 ลงมาจากปัจจุบันเกิน 30 บาทต่อลิตรไปแล้ว
ปรับลดสัดส่วนผสมดีเซลจาก B10 และ B7 เป็น B6 ในช่วงระหว่างวันที่ 11-31 ต.ค.นี้ และลคค่าการตลาดดีเซลเหลือ 1.40 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร รวมทั้งเตรียมเงินกองทุนน้ำมันราว 3 พันล้านบาท
อ่านข่าว : จับเทรนด์ "หุ้นพลังงาน" ขาขึ้น น้ำมัน -แก๊ซ-ถ่านหิน พุ่งไม่หยุด
โดยใช้เม็ดเงินจากกองทุนน้ำมันฯเข้ามาอุดหนุนประมาณ 2.08 บาทต่อลิตร รวมระยะเวลา 21 วันใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯรวม ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งสถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท ส่วนราคาก๊าซ LNG ซึ่งใช้ในภาคครัวเรือนจะมีการอุดหนุนต่อเนื่องไปจนถึงเดือนม.ค. 2565
มาตรการดังกล่าวย่อมส่งผลบกระทบมายังธุรกิจปั๊มน้ำมันโดยตรง จากการลคค่าการตลาดดีเซลเหลือ 1.40 บาทต่อลิตร จาก 1.80 บาทต่อลิตร หรือเป็นการปรับลดลง 28.57 % ในธุรกิจดังกล่าวมีโครงสร้างรายได้และยอดขายที่สูงแต่อัตรากำไรอยู่ในระดับต่ำ จากภาวะความผันผวนราคาน้ำมัน ภาษี ค่าการตลาด และต้นทุนอื่น จนทำรายใหญ่ทำรายได้ระดับแสนล้านบาทมีกำไรพันล้านบาท
ดังนั้นทำให้รายใหญ่ต่างกระจายรายได้ไปยังธุรกิจนอนออยล์มากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด ซึ่งในตลาดนี้ที่มีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด หนีไม่พ้น บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ที่ 40.70 % ถัดมาเบอร์ 2 ที่ก้าวกระโดด บริษัทพีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG 16.60 % อันดับ 3 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ที่15.60 % และ บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO ที่12 %
แทบทุกบริษัทได้เจอผลกระทบดังกล่าวถ้วนหน้าเนื่องจากตามโครงสร้างรายได้ธุรกิจน้ำมันยังเป็นสัดส่วนรายได้หลักมากกว่า 50 % แต่สถานการณ์จะมีผลหนักหน่วงไม่เท่ากันเนื่องจาก มาตรการออกมาพุ่งเป้าไปที่กลุ่มน้ำมันดีเซล เป็นหลัก ทำให้หากรายไหนมีพอร์ตน้ำมันดีเซลมากที่สุดได้รับผลกระทบหนักตามไปด้วย
โดย PTG นอกจากจะมีสัดส่วนรายได้ธุรกิจน้ำมันมากที่สุดใน 4 รายใหญ่แล้วที่ 96 % กลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิงที่บริษัทขายในสัดส่วนที่มากที่สุด 72% เป็นน้ำมันดีเซล ส่วนที่เหลือ 28% เป็นน้ำมันเบนซิน
ส่วน OR สัดส่วนรายได้ธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 91.2 % ,BCP อยู่ที่ 70 % เนื่องจากมีธุรกิจโรงกลั่นเป็นหลักและเร่งกระจายไปยังธุรกิจพลังงานสีเขียวมากขึ้น และ ESSO มีสัดส่วน 85 % ของรายได้
อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวเพียงช่วงต.ค. หากสถานการณ์น้ำมันดีขึ้นทำให้ผลกระทบจำกัด แต่หากมาตรการลากยาวไปถึงสิ้นปี 2564 ทำให้ไตรมาส 4ปี 2564 เจอผลกระทบด้านกำไรลดลงมากที่สุดอีกไตรมาสหนึ่ง