"หุ้นเปิดเมือง" กอดคอบวก เด้งรับเปิดประเทศ 1 พ.ย.64
นักลงทุนแห่เก็งกำไรหุ้นเปิดเมือง อานิสงส์ไทยเปิดประเทศ 1 พ.ย. ดันราคาหุ้นพุ่ง “บล.เมย์แบงก์ฯ” แนะนักลงทุนกลาง-ยาวเลือกซื้อรายตัว เหตุราคาปรับขึ้นร้อนแรง ส่วนสายเก็งกำไรแนะซื้อเล่นรอบ “บล.กสิกรไทย” เลือกหุ้นโรงแรม-ขนส่งในเมือง คาดได้ประโยชน์เป็นกลุ่มแรก
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยวานนี้ (12 ต.ค.2564) ดัชนี SET เปิดตลาดภาคเช้าบวก 13.41 จุด หรือ 0.82% ทำจุดสูงสุดที่ 1,646.85 จุด ก่อนจะลดช่วงบวกลงเล็กน้อยในภาคบ่ายมาปิดที่ 1,643.64 จุด เพิ่มขึ้น 10.20 จุด หรือ 0.62% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 93,081.47 ล้านบาท
สำหรับหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหนุนตลาดส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเปิดเมือง อานิสงส์เปิดประเทศ 1 พ.ย.2564 โดยหุ้นเปิดเมืองที่ราคาปรับขึ้นและมีผลทำให้ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ปรับขึ้นมาที่สุด ได้แก่ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) เพิ่มขึ้น 5.45% และ บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) เพิ่มขึ้น 4.37%
ส่วนการซื้อขายแบ่งตามกลุ่มนักลงทุน พบว่า กองทุนขายสุทธิ 2,478.51 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 99.37 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 5,069.23 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยในประเทศขายสุทธิ 5,069.23 ล้านบาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ได้ปัจจัยหนุนภายหลังนายกรัฐมนตรี ประกาศเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.เป็นต้นไป โดยไม่ต้องกักตัวอย่างน้อย 10 ประเทศ ส่งผลให้เกิดแรงเก็งกำไรในกลุ่มหุ้นเปิดเมือง โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและโรงแรม แม้ว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2564 ของกลุ่มจะยังไม่สามารถกลับมาทำกำไรได้ แต่เชื่อว่านักลงทุนพร้อมมองข้ามปัจจัยลบดังกล่าวไปแล้ว
สำหรับการลงทุนในกลุ่มหุ้นเปิดเมือง บล.เมย์แบงก์ฯ มีมุมมองเชิงบวก เพราะคาดว่าราคาหุ้นจะได้อานิสงส์จากการประกาศผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค. ก่อนจะเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในเดือน ม.ค.2565 อีกทั้งได้ปัจจัยบวกจากกระแสเงินลงทุน (ฟันด์โฟลว์) ต่างชาติที่กลับเข้ามาลงทุน และมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ ทั้งมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม แนะนำเลือกลงทุนรายตัว (Selective Buy) เพราะราคาหุ้นเปิดเมืองหลายตัวเริ่มปรับขึ้นร้อนแรง โดยหุ้นที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะกลางถึงยาว ได้แก่ AOT เพราะเชื่อว่าธุรกิจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยคาดหวังจำนวนนักท่องเที่ยวจะทยอยปรับขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2564 ต่อเนื่องไปยังปี 2565 อีกทั้งคาดหวังว่าบริษัทจะทยอยปรับค่าเช่าชดเชยกับช่วงที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการจากโควิด-19
ถัดมาแนะนำกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภค ได้แก่ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) และ บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) ได้ประโยชน์จากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2564 รวมถึงราคาหุ้นยังปรับขึ้นช้ากว่าตลาด (แลกการ์ด) แม้แนวโน้มกำไรจะปรับตัวลงแรงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในแต่ละไตรมาส ส่วนนักลงทุนระยะสั้น แนะนำซื้อเก็งกำไรกลุ่มโรงแรม แต่เป็นการเก็งกำไรตามรอบ และไม่แนะนำให้ซื้อไล่ราคา
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ปรับขึ้นตอบรับเชิงบวกจากแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีที่มีแผนเปิดประเทศชัดเจน โดยกลุ่มหุ้นเปิดเมือง ได้แก่ กลุ่มสายการบิน และกลุ่มโรงแรม เป็นกลุ่มหุ้นที่ปรับขึ้นนำตลาดมากที่สุดเฉลี่ย 3-6% มากกว่าดัชนี SET ที่ปรับขึ้นเพียง 0.62% และพักตัวลงในช่วงตลาดภาคบ่าย
ทั้งนี้ บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกอ่อนๆ ต่อประเด็นการเปิดประเทศวันที่ 1 พ.ย. เพราะคาดว่านักลงทุนรับรู้ปัจจัยดังกล่าวไปแล้ว ไม่ใช่ปัจจัยใหม่ที่เซอร์ไพรส์ตลาดหุ้น นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านจำนวนนักท่องเที่ยวที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของภาครัฐ กล่าวคือ นักท่องเที่ยว 10 ประเทศที่อนุญาตให้เข้ามาได้โดยไม่ต้องกักตัว อาจไม่ได้เดินทางเข้ามามากตามที่คาดหวังเอาไว้ ส่งผลให้การเปิดประเทศสร้างผลบวกให้จีดีพีปี 2564 อีกไม่มาก
อย่างไรก็ดี สำหรับการลงทุนแนะนำหุ้นเปิดเมืองที่มีธุรกิจอยู่ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑลเป็นหลักก่อน เพราะคาดว่าจะเป็นพื้นที่กลุ่มแรกๆ ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว โดยเลือกหุ้นเด่น ได้แก่ AWC บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) และ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW)