แกว่งตัวออกข้าง (ประจำวันที่ 19 ตุลาคม 2564)

แกว่งตัวออกข้าง (ประจำวันที่ 19 ตุลาคม 2564)

วันจันทร์ที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวขึ้นประมาณ 5 จุด โดยปรับตัวขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นในเอเชียเหนือ หลังจากที่จีน รายงาน GDP ต่ำกว่าคาด

ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวลงเล็กน้อย โดย SETปรับตัวขึ้นจากแรงซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคาร ประกอบกับนักลงทุนจับตาการรายงานงบไตรมาส 3 ที่ทยอยประกาศ ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,643.92 จุด +5.58 จุด +0.34% มูลค่าการซื้อขาย 80,254 ต่างชาติ +3,773.87 ลบ. TFEX +9,187 สัญญา ตราสารหนี้ -1,997.56 ลบ.

 

ปัจจัยบวก    

+ ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 16 เซนต์ +0.2% ปิดที่ 82.44 ดอลลาร์/บาร์เรล ขานรับแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก นลท.จับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในสัปดาห์นี้
+ ผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยว่าจีนสามารถจำกัดวงความเสี่ยงจากบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ที่มีต่อเศรษฐกิจและระบบการเงินจีนได้
+ สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านบวก 4 จุด สู่ระดับ 80 ในเดือนต.ค. ดัชนีสูงกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงมุมมองบวก โดยดัชนีความเชื่อมั่นต่อยอดขายในปัจจุบันและในช่วง 6 เดือนข้างหน้าต่างปรับตัวขึ้น
+ สธ.เห็นชอบสูตรฉีดวัคซีนใหม่ ซิโนแวค-ไฟเซอร์ แอสตร้าฯ-ไฟเซอร์
+ผลสำรวจของ TRA Poll ของผู้บริหารกลุ่มค้าปลีกค้าส่งและบริการชี้ให้เห็นว่านโยบายการเตรียมเปิดประเทศเป็นสัญญาณที่ดี
+ ศบค.รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ต่ำกว่าระดับหมื่นราย พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 9,122 ราย มีผู้เสียชีวิต 71 ราย รักษาหาย 10,731ราย

 

ปัจจัยลบ

- ดัชนีดาวโจนส์ปิด ลดลง 36.15 จุด -0.10% ได้รับแรงกดดันจากตัวเลข GDP ของจีนที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดในไตรมาส 3 แต่ ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวกเนื่องจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร นลท.จับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ซึ่งรวมถึงจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และเน็ตฟลิกซ์
 

 

- จีนรายงาน GDP ไตรมาส 3 ขยายตัวเพียง 4.9%YoY ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยายตัว 5.2% ขยายตัวในอัตราที่ช้าที่สุดในรอบ 3 ไตรมาส โดยเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบจากปัญหาขาดแคลนพลังงาน ภาวะติดขัดด้านอุปทาน การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการที่รัฐบาลควบคุมภาคอสังหาริมทรัพย์
- กองทัพจีนประณามสหรัฐและแคนาดาที่ส่งเรือรบผ่านช่องแคบไต้หวันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยระบุว่า ทั้งสองประเทศกำลังคุกคามสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค
- IMF เปิดเผยว่า จีนสร้างความเสี่ยงอย่างใหญ่หลวงจากการกวาดล้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ตั้งแต่ธุรกิจเทคโนโลยี โรงเรียนกวดวิชา ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์
- FDA ของสหรัฐเรียกร้องให้ดำเนินการวิจัยเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาที่กลายพันธุ์ หรือที่เรียกว่า เดลตาพลัส เป็นการด่วน หลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในอังกฤษกลับมาพุ่งขึ้นอีกครั้ง
- แบงก์ชาติเผยเศรษฐกิจไทยโตล้าหลังกว่าภูมิภาค ยังต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อ ขณะที่รมว.คลัง ยอมรับต้องกู้เงินมากกว่าปกติเพราะปัญหาโควิด จึงต้องขยายเพดานเกิน 60%

 

แนวโน้มตลาดวันนี้

คาดดัชนีในวันนี้ยังแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sideway โดยยังขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนตลาด นักลงทุนยังคงติดตามการประกาศผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคาร อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องคาดว่าจะสามารถพยุงตลาดได้ มองกรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1635-1,650 จุด

 

กลยุทธ์การลงทุน  

• ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นเป็นบวกต่อ : TOP SPRC ESSO PTTGC
• เปิดรับนักท่องเที่ยวแบบไม่ต้องกักตัว : MINT ERW CENTEL AWC SHR ASAP AOT AAV BA
• ครม.ไฟเขียวจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มเติม 6 แห่ง : ROJNA WHA EGCO
• ศบค.ลดเวลาเคอร์ฟิว : CPN CRC MBK CPALL BJC BEM BTS M AU ZEN
 

หุ้นรายงานพิเศษ

                                     HENG (ราคาIPO 1.95 บาท)

•บมจ.เฮงลิสซิ่ง แอนด์ แคปปิตอล ประกอบธุรกิจ (1) สินเชื่อเช่าซื้อ (2) สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ (3) สินเชื่อที่มีบ้านและที่ดินเป็นหลักประกัน (4) สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มิใช่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (5) สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ และ (6) นายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิต แก่ลูกค้ารายย่อยทั่วไป ภายใต้ชื่อ “เฮงลิสซิ่ง”สัดส่วนสินเชื่อเช่าซื้อ 65% ของสินเชื่อรวม ปลายมิ.ย. 64 มีสาขา 451 สาขาซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือ และมีแผนเพิ่มเป็น 830 สาขา ภายในปี 2566

•ปี 61-63 รายได้รวม 1,406.9 ลบ. 1,743.4 ลบ. และ 1,590.0 ลบ. ตามลำดับ รายได้หลัก คือ รายได้ดอกเบี้ย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 88-91% ของรายได้รวมในแต่ละปี ในปี 63 รายได้รวม -8.8%YoY เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้บริษัทฯ เพิ่มความระมัดระวังในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อใหม่ ปี 61-63 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ เท่ากับ 151.8 ลบ. 188.7 ลบ. และ 318.1 ลบ. คิดเป็น CAGR 44.7% ต่อปี ในช่วง 1H64 มีรายได้รวม 765.2 ล้านบาท -8.8%YoY เนื่องจากมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ กำไรสุทธิ 109.1 ลบ. -36.2%YoY

•เสนอขายหุ้นเพิ่มทุน 800,837,300 หุ้น คิดเป็น 21% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด Par 1 บาท ที่ราคา IPO หุ้นละ 1.95 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย 1,5612 ล้านบาท วัตถุประสงค์การใช้เงิน 1.ขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อ 2.ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินบางส่วน 3.พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น Software และ Mobile Application วันเริ่มเทรดกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมจะขายหุ้นให้แก่ KBANK รวม 381,000,000 หุ้น คิดเป็น 10% ของทุนชาระหลัง IPO ผ่านรายการ big lot

•Trailing P/E ที่ 29x เทียบกับบจ.ที่ธุรกิจคล้ายกัน ได้แก่ MTC 24.2x, SAWAD 18.9x, SAK 36x, TIDLOR 31.1x และค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 27.5x

 

หุ้นมีข่าว

(+) TEAMG ( Bloomberg Consensus 2.91 บาท) เดินหน้าคว้างานเพิ่ม จ่อเซ็นสัญญางานใหม่ 1-2 โครงการ มูลค่าราว 200-300 ล้านบาท เติมงานในมือเพิ่มจากเดิมมีอยู่กว่า 3,600 ล้านบาท ชี้เปิดประเทศเป็นโอกาสเข้ารับงานในกลุ่มประเทศ CLMV มากขึ้น มั่นใจร่วมทุนพันธมิตรต่อยอดธุรกิจหนุนอนาคตเติบโต (ที่มา ทันหุ้น)

(+) PSTC ( Bloomberg Consensus 3.70 บาท) ส่งบริษัทลูก BIGGAS ชนะงานประมูลการจำหน่าย LNG จากกลุ่มลูกค้าโรงงานอุตสาหกรรมทางการแพทย์ 2 โครงการ มูลค่ากว่า 7 พันล้านบาท ผู้บริหารแย้มไตรมาส 4/2564 มีงาน EPC อยู่ระหว่างการทำสัญญา 800-1,000 ล้านบาท(ที่มา ทันหุ้น)

(+) IMH ( Bloomberg Consensus 21.45 บาท) แย้มอยู่ระหว่างศึกษาแผนเทคโอเวอร์โรงพยาบาลเพิ่มอีก 1-2 แห่ง หวังเสริมแกร่งรพ.ประชาพัฒน์ ปูทางนำรพ.เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 65 ขณะที่ประกาศพร้อมรับมือให้บริการตรวจและรักษาโควิด-19 ครบวงจร เล็งเปิดศูนย์แพทย์เฉพาะทางรักษาผู้ป่วยหลังโควิด (Post-Covid) (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) NRF ( Bloomberg Consensus 9.25 บาท) บอร์ด NRF ไฟเขียว ทุ่ม 60 ล้านบาท เข้าซื้อหุ้น GTH เพิ่มอีก 51% จาก “จุลภาศ เครือโสภณ” เพื่อถือหุ้นเต็ม 100% คาดแล้วเสร็จไตรมาส 4/64 หวังขึ้นเป็นผู้นำตลาดกัญชง พร้อมตั้งบริษัทโฮลดิ้งเข้าถือหุ้นบริษัทในเครือ “โนฟ ฟู้ดส์” ทั้งหมด รองรับการเติบโตกลุ่มธุรกิจกัญชง-แพลนต์เบสในอนาคต นอกจากนี้ตั้ง “รีเจนเนอเรชั่น แคปปิตอล” และ “รีเจนเนอเรชั่น แคปปิตอล (สิงคโปร์)” เพื่อบริหารและคัดสรรการลงทุนภายใต้กลุ่มบริษัท (ที่มา ข่าวหุ้น)