“สุพัฒนพงษ์”เร่งลดคาร์บอน หนุนแผนพลังงานสะอาดกฟผ.
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ผ่านมาทำให้ประชาคมโลกมีความจำเป็นต้องช่วยกัน โดยเฉพาะการช่วยกันควบคุมสภาพภูมิอากาศที่เป็น 1 ในสาเหตุที่ทำให้สภาพอากาศแปรปรวน
สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ปัจจุบันไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนไดออกไซด์ 300-400 ล้านตันต่อปี ส่วนใหญ่มาจากโรงงานภาคอุตสาหกรรม หากจะดูดซับคาร์บอน 1 ตัน จะต้องใช้เงินกว่า 2,000 ล้านบาท ส่งผลให้ไทยต้องสูญเสียเงิน 7-8 แสนล้านบาทต่อปี
ดังนั้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ขานรับนโยบาย Carbon Neutrality ซึ่งนำมาวางเป็นยุทธศาสตร์ในการดำเนินงานของ กฟผ.ทั้งการผลิตไฟฟ้า ระบบส่ง พลังงานหมุนเวียน นวัตกรรม การสนับสนุนการชดเชยคาร์บอนไดออกไซต์ รวมถึงโครงการปลูกป่าล้านไร่ตามแนวคิด “EGAT Carbon Neutrality” เป้าหมายในปีค.ศ.2050 ซึ่งมีแผนในการปลูกป่าปีละหนึ่งแสนไร่ รวมจำนวน 1 ล้านไร่ ระหว่างปีค.ศ.2022-2031 ประกอบไปด้วยป่าอนุรักษ์ ป่าชายเลน ป่าชุมชน และป่าเศรษฐกิจ โดยจะเริ่มโครงการปลูกป่าชายเลนที่ จ.ชุมพร ซึ่งคาดว่าทั้งโครงการจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซต์ได้ 1.2 ล้านตันต่อปี
ทั้งนี้ กฟผ.ถือเป็นต้นแบบองค์กรที่ผลิตกระแสไฟฟ้าและปรับเปลี่ยนเพื่อพลังงานสะอาด โดยจะเห็นได้จากนวัตกรรมโซลาร์เซลล์ลอยน้ำไฮบริดกับพลังน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี มีกำลังผลิต 45 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นการผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานระหว่างพลังงานแสงอาทิตย์และพลังน้ำ
โดยโซลาร์เซลล์จะผลิตไฟฟ้าช่วงกลางวันและนำพลังน้ำมาผลิตไฟฟ้าเสริมช่วงที่ความเข้มแสงไม่เพียงพอหรือช่วงกลางคืน ทำให้ผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน ช่วยลดความไม่แน่นอนของพลังงานหมุนเวียนที่ปกติแล้วจะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ถือเป็นต้นแบบขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และเชื่อว่าไทยจะมีศักยภาพที่จะทำสิ่งดีอย่างนี้ให้เป็นตัวอย่างกับประชาคมทั่วโลก อนาคตเราจะเป็นต้นแบบที่ดีของประเทศที่ให้ความสำคัญต่อสารคาร์บอนต่ำและนำไปสู่การเป็นสมดุลของคาร์บอนในอนาคต
“ไทยประกาศแผนลดก๊าซคาร์บอนในปี 2575 ซึ่งจะถึงเป้าหมายหรือไม่นั้นแต่จะเป็นปีที่ทำให้เร็วที่สุดได้”
ดังนั้น กิจกรรม การประกาศนโยบายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนของ กฟผ. EGAT Carbon Neutrality) ถือเป็นกิจกรรมที่สมบูรณ์ของกระทรวงพลังงานและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ การสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตที่ต้องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น ระบบสายส่งจะต้องมีการปรับเปลี่ยนหรือยืดหยุ่น เพื่อรองรับพลังงานหมุนเวียนที่จะเกิดขึ้น ซึ่งบทบาทของ กฟผ.มีอีกมากที่จะเป็นต้นแบบ ระบบสายส่งต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอรองรับให้เกิดความเสถียรภาพในการจำหน่ายหรือจัดหาไฟฟ้าให้ประชาชนได้ใช้เหมือนกับที่ กฟผ.ทำมาตลอดในระยะเวลาตั้งแต่ก่อตั้งมา และต้องรักษาไว้เป็นรุ่นต่อรุ่นให้ได้ ถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย เชื่อมั่นว่า กฟผ.จะบรรลุวัตถุประสงค์และสืบทอดไปต่อได้
บุญญนิตย์ วงศ์รักมิตร ผู้ว่าการ กฟผ.กล่าวว่า ในยุคที่โลกและไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและทวีคูณมากในปัจจุบัน กฟผ.ตระหนักถึงความสำคัญที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันมุ่งสู่พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้เห็นชอบกรอบแผนพลังงานชาติ ซึ่งได้กำหนดแนวนโยบายภาคพลังงาน โดยมีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่พลังงานสะอาด และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Carbon Neutrality ภายในปีค.ศ.2065-2070 เมื่อวันที่ 4 ส.ค.2564
ทั้งนี้ เพื่อให้เป้าหมายภายใต้หลักการสร้างสมดุลในการสร้างการผลิตไฟฟ้า ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในประเทศ โดยการดำเนินงานที่ผ่านมา ได้กำหนดทิศทางเพื่อมุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนภายใต้การเติบโตสู่สังคมคาร์บอนต่ำร่วมกัน สู่สังคมและสิ่งแวดล้อมด้วยการจัดการตั้งแต่ต้นกำเนิด การดูดซับเก็บคาร์บอนอย่างมีส่วนร่วม และการสนับสนุนโครงการหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คือการปรับสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนให้ผลิตไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ในปีค.ศ.2050 ตั้งเป้าผลิตพลังงานไฟฟ้าเชื้อเพลิงไฮโดรเจนไว้ที่ 6.6 แสนล้านหน่วย โดย กฟผ.มีการผลิตไฟฟ้าที่ได้รับจากสนับสนุนจากรัฐบาล 5,320 เมกะวัตต์ ในปีค.ศ.2036 เพื่อให้ได้พลังงานหมุนเวียนมาใช้อย่างเหมาะสมไม่กระทบต่อการผลิตไฟฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้วางแนวทางในการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าอนาคต โดยการเพิ่มปริมาณดูดเก็บก๊าซคาร์บอนจะเน้นไปที่โครงการปลูกป่า 1 ล้านไร่ ภายในระยะเวลา 10 ปี
พร้อมวางหลักการร่วมกับพันธมิตรผ่านแพลตฟอร์มบริหารจัดการมีการปลูกป่า โดยมุ่งเน้นปลูกป่าอนุรักษ์ชุมชนเศรษฐกิจ ปลูกป่าตั้งเป้าปีละ 1 แสนไร่ และได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนโดยเฉพาะชุมชน การเพาะเลี้ยงอนุบาลต้นกล้า ขอให้ชุมชนช่วยดูแลต้นกล้า ช่วยกันปลูกและช่วยกันดูแล และใช้เทคโนโลยี ร่วมกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ตรวจสอบพื้นที่ และใช้โดรนตรวจเช็คสภาพโดยรวม
สำหรับการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าของ กฟผ.ก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 มีภารกิจหลักในการณรงค์ภาคประชาชนให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ของ กฟผ. นับเป็นรากฐานในการกำหนดมาตรฐานพลังงานขั้นต่ำ เป็นกฎหมายและมีผลบังคับใช้แล้วสำหรับตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งงานฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ของ กฟผ.เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ