“พิพัฒน์” ชี้รัฐเปิดรายชื่อ 46 ประเทศเที่ยวไทยไม่กักตัว ปลุกไฮซีซั่นคึกคัก
“พิพัฒน์” ชี้รัฐประกาศรายชื่อ 46 ประเทศที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้าไทยได้แบบไม่ต้องกักตัว ปลุกความคักรับไฮซีซั่น “เปิดประเทศ 1 พ.ย.64” ด้านสมาคมโรงแรมไทยปลื้มรัฐยกเลิกเคอร์ฟิว ลุ้นคลายล็อกอนุญาตขายแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร ตอบความต้องการทัวริสต์ต่างชาติ
หลังจากราชกิจจานุเบกษาประกาศข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 36 กำหนดพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว และปลดล็อกเคอร์ฟิวพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว 17 จังหวัด มีผลตั้งแต่เวลา 23.00 น. ของวันที่ 31 ต.ค. 2564 รวมถึงกรณีศูนย์ปฏิบัติการมาตรการการเดินทางเข้าออกประเทศและการดูแลคนไทยในต่างประเทศ (ศปก.กต.) ได้ประกาศรายชื่อ 46 ประเทศ/พื้นที่ที่สามารถเดินทางเข้ามาในไทยได้แบบไม่ต้องกักตัว หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกแถลงการณ์เรื่อง “เปิดประเทศ 1 พ.ย.2564” รับนักท่องเที่ยวต่างชาติจากประเทศความเสี่ยงต่ำแบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ เมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า นับเป็นข่าวดีที่สุดที่จะมาช่วยฟื้นการท่องเที่ยวของไทย ทำให้การท่องเที่ยวในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้มีความคึกคักขึ้นมามาก ปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้แจ้งข้อมูลมาเบื้องต้นว่า แนวโน้มนักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น แต่จะเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ ตอนนี้ยังต้องขอประเมินสถานการณ์ก่อน
อ่านข่าว : เปิดประเทศบูม “เศรษฐกิจ” ความท้าทายใหม่ฟื้นพิษโควิด
จากการรายงานแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวในเดือน พ.ย.นี้ สำหรับ จ.ภูเก็ต ทาง ททท. แจ้งยอดจองในเดือนพ.ย.ว่ามีเข้ามามาก ทำให้อัตราการจองห้องพักในพื้นที่เกือบจะเกิน 50% ของจำนวนห้องพักทั้งหมดแล้ว โดยทั้งหมดได้ขอใบอนุญาตเดินทางเข้าราชอาณาจักร (COE : Certificate of Entry) มาก่อน แต่เมื่อรัฐบาลออกประกาศปลดล็อก กำหนดรายชื่อประเทศที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางจากประเทศนั้นๆ เข้ามาในไทยได้แบบไม่ต้องกักตัว โดยจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบ มีผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR เป็นลบ ระยะเวลาไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทยต้องรับการตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ครั้งที่ 1 ในวันแรกที่เดินทางมาถึง หากไม่พบว่าติดเชื้อ จึงจะสามารถเดินทางไปเที่ยวได้เลย โดยไม่ต้องกักตัว เมื่อมีการปลดล็อกเงื่อนไขสำคัญ น่าจะทำให้ยอดการเดินทางในเดือน ธ.ค.และเดือนถัดๆ มาทะลักแน่นอน
อย่างไรก็ตาม การตรวจหาเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ครั้งที่ 1 เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึงประเทศไทย จำเป็นต้องปรับรูปแบบจากเดิมที่มีการตรวจหาเชื้อเมื่อมาถึงสนามบิน เป็นการตรวจหาเชื้อที่โรงแรมหรือที่พักแทน เพื่อลดความแออัดในพื้นที่สนามบิน เนื่องจากประเมินว่าในช่วงเดือน พ.ย.นี้เป็นต้นไป จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเป็นจำนวนมากกว่าเดิมหลายเท่า หากรอตรวจที่สนามบินอาจทำให้เกิดปัญหาความล่าช้า ล่าสุดได้หารือกับทางผู้ประกอบการโรงแรมแล้วก็รับทราบและเตรียมพื้นที่ตรวจหาเชื้อ โดยนักท่องเที่ยวจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองในอัตราไม่เกินคนละ 2,000 บาท
ด้านนางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่รัฐบาลประกาศรายชื่อ 46 ประเทศเข้าไทยไม่ต้องถูกกักตัวเริ่มวันที่ 1 พ.ย.นี้ ซึ่งมีจำนวนมากกว่าที่นายกฯเคยประกาศไว้ว่ามีไม่น้อยกว่า 10 ประเทศ อย่างไรก็ตามยังขาดตลาดใหญ่ เช่น อินเดีย และรัสเซีย แต่นักท่องเที่ยวจาก 2 ประเทศนี้ยังสามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวใน “พื้นที่สีฟ้า” (Blue Zone) นำร่องการท่องเที่ยว 17 จังหวัดแบบไม่ต้องกักตัว แต่ต้องอยู่ในพื้นที่นั้นๆ ให้ครบ 7 วันก่อน จึงจะเดินทางไปยังพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทยได้
ขณะเดียวกันรัฐบาลได้ประกาศยกเลิกเคอร์ฟิวก็สอดรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะเวลานักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาแล้วก็อยากทำทุกอย่างได้เต็มที่ โดยยังขาดอีกเรื่องหนึ่งคือยังไม่อนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร โดยคิดว่ารัฐบาลคงค่อยๆ ผ่อนปรนในช่วง 1 เดือนนี้
“เมื่อมีการประกาศเปิดประเทศนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทางสมาคมฯมองว่าคงไม่ได้เข้ามาทันที ใช้เวลา 1 เดือนกว่าจะเดินทางเข้ามาจริงจัง”
ส่วนเงื่อนไขการเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวจาก 46 ประเทศ ที่ผ่านทางสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง หากจะไปท่องเที่ยวจังหวัดอื่นที่เดินทางเกิน 2 ชั่วโมงจะต้องพักโรงแรมในกรุงเทพฯก่อน 1 คืน เพื่อรอผลตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ก็จะส่งผลให้โรงแรมในกรุงเทพฯที่เงียบกริบมานานคึกคักขึ้น
“อย่างไรก็ตาม อยากเห็นภาพของนักท่องเที่ยวต่างชาติกระจายไปจังหวัดอื่นๆ ด้วย เช่น จากที่เคยไปจังหวัดภาคใต้กันมาก ก็อยากให้ไปเที่ยวจังหวัดในภาคเหนือด้วย” นายกทีเอชเอกล่าว