"สแตนชาร์ด"จ่อปรับGDPปี65เกิน3% ปลายพ.ย.64 หากภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวแรง
"สแตนชาร์ด" จ่อปรับGDPปีหน้าโตมากกว่า 3% หากปลายพ.ย. 64 ภาคการท่องเที่ยวส่งสัญญาณฟื้นตัวดีหลังเปิดประเทศ -คุมการแพร่ระบาดของโควิดได้ พร้อมจับตานโยบายการเงินปีหน้า เหตุ ตลาดการเงินโลกผันผวน มองค่าเงินถึงกลางปีหน้า แข็งค่า 31-32 บาทต่อดอลลาร์
นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เปิดเผยว่า ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด(สแตนชาร์ด) คาดเศรษฐกิจไทย(GDP)ปี2565 โต 3% จากปี 2564 คาดจะไม่เติบโตจากปี2563 เนื่องจากภาคการส่งออกโตดีต่อเนื่อง และได้ผลดีจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว จากการเริ่มเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.2564 และมองการบริโภคจะฟื้นตัว
ทั้งนี้หากปลายเดือนพ.ย.2564พบว่าภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวชัดเจน และหลังจากเปิดประเทศแล้วสามารถคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด จะมีการปรับเพิ่มประมาณการ GDPปี 65
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาปีหน้า คือ นโยบายทางการเงินในประเทศ ซึ่งเราคาดว่าธปท.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 0.5% ต่อไป ทั้งปีหน้า แต่ อาจได้แรงกดดันจากปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น เงินเฟ้อต่างประเทศเพิ่มขึ้น จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ธนาคารหลายประเทศปรับขึ้นดอกเบี้ย ทำให้เกิดความผันผวนในภาคการเงินได้ และยังมีผลให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยในประเทศต้องติดตามเรื่องการเมือง
ส่วนในส่วนของนโยบายทางการคลังยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 น่าจะมีการกระตุ้นในภาคการบริโภคและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่โครงการการลงทุนต่างๆ น่าจะกลับมาเดินหน้าต่อ ซึ่งมีโอกาสต่อยอดการเติบโตของเศรษฐกิจได้มากขึ้นอีก
นายทิม กล่าวว่า ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดคาดว่าค่าเงินบาทจากนี้ถึงกลางปี 2565 จะอยู่ที่ 31-32 บาทต่อดอลลาร์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งแข็งค่าขึ้นจาก ปัจจัยการเปิดประเทศ และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตามในระยะกลางและระยะยาวยังมีความท้าทาย ว่า หลังจากโควิด-19 รัฐบาลจะสามารถดึงดูดภาคธุรกิจทั้งในและต่างประเทศให้ลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้นได้อย่างไร และการแสดงให้เห็นถึงความคืบหน้าของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC อย่างชัดเจน