NRF จ่อปิดดีลธุรกิจแพลนต์เบสสหรัฐไตรมาส 4/64 พร้อมตั้งกองทุนสตาร์ทอัพ

NRF จ่อปิดดีลธุรกิจแพลนต์เบสสหรัฐไตรมาส 4/64 พร้อมตั้งกองทุนสตาร์ทอัพ

“เอ็นอาร์เอฟ” เตรียมปิดดีล M&A ธุรกิจแพลนต์เบสในสหรัฐ คาดเห็นความชัดเจนภายในปี 64 หนุนเป้าหมายระยะยาว ปั้นรายได้ธุรกิจอาหารจากพืชแตะ 30% ของพอร์ตรวม จากปัจจุบันอยู่ที่ 9% พร้อมตั้งกองทุน ลงทุนสตาร์ทอัพ สร้างผลตอบแทนหรู

นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปิดดีลควบรวมกิจการ (M&A) ธุรกิจอาหารจากพืช (Plant-based Food) ในสหรัฐ เบื้องต้นมูลค่าดีลค่อนข้างใหญ่ โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปี 2564 นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างพูดคุยดีล M&A ในธุรกิจ Plant-based อยู่อีกหลายราย ภายใต้งบลงทุน M&A 2,000 ล้านบาท ปัจจุบันใช้งบลงทุนดังกล่าวไปแล้วประมาณ 25% หรือประมาณ 500 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายระยะยาว รายได้จากธุรกิจ Plant-based จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 30% ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 30% ธุรกิจอาหารไทยและอาหารท้องถิ่น (Ethnic Food) 30% และอีก 10% เป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจอื่นๆ โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทยังมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากธุรกิจ Ethnic Food 80% ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 11% และที่เหลืออีก 9% เป็นรายได้จากธุรกิจ Plant-based และธุรกิจผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน (Functional Products)

ในการนี้ บริษัทอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาวผ่านการทำดีล M&A โดยแบ่งดีล M&A ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. การเข้าไปลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทในสัดส่วนไม่เกิน 5% แต่เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น การลงทุนในบริษัท Boosted Ecommerce, Inc. (Boosted) ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกา และบริษัท โกลเด้น ไตรแองเกิล เฮลท์ จำกัด (GTH) ซึ่งมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในแต่ละปี

สำหรับบริษัท Boosted ที่เริ่มลงทุนในเดือน ก.ย.2563 มูลค่า 100 ล้านบาท ปัจจุบันมูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่าในเดือน พ.ค.2564 ส่งผลให้บริษัทตัดสินใจขายหุ้นออกมาราว 10% ส่วน GTH มูลค่าการลงทุน 120 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขายหุ้น 25% ให้แก่บริษัทภายนอก ซึ่งประเมินมูลค่าธุรกิจเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 480 ล้านบาท

ทั้งนี้ เดิมบริษัทไม่สามารถรับรู้เป็นกำไรสุทธิได้ ดังนั้นบริษัทจึงปรับโครงสร้างผ่านการจัดตั้งบริษัท รีเจนเนอเรชั่น แคปปิตอล จำกัด เพื่อใช้เป็นกองทุนภายในองค์กร (Corporate Venture Capital) ขณะที่งบลงทุนมาจากเงินจากการจัดสรรงบ (Cash Flow) ของบริษัท ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป

2. การลงทุนในลักษณะพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Deal) ผ่านการซื้อกิจการ (Take Over) สัดส่วนการลงทุนตั้งแต่ 50-100% และ 3. การลงทุน M&A ผ่านบริษัท Boosted ด้วยการเข้าลงทุนในร้านค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Amazon.com โดยคาดว่าการปรับโครงสร้างและแผนการลงทุนดังกล่าวจะส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทเติบโตแตะ 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2567