‘เงินบาท’ วันนี้เปิด‘แข็งค่า’ ที่ 33.28 บาทต่อดอลลาร์
“เงินบาท”เปิดตลาดวันนี้(4พ.ย.)แข็งค่าที่ 33.28 บาทต่อดอลลาร์ “กรุงไทย” ชี้จับตากระแสฟันด์โฟลว์หลังเฟดคงดอกเบี้ย ลดคิวอีเดือนละ 1.5หมื่นล้านดอลลาร์จะทำเร็วหรือช้าขึ้นกับสถานการณ์ มองกรอบเงินบาทวันนี้33.20-33.35 บาทต่อดอลลา
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงิน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (4พ.ย.) ที่ระดับ 33.28 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าขึ้น จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.31 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.20-33.35 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นไม่มาก แม้ว่า เงินดอลลาร์จะมีโอกาสอ่อนค่าลงก็ตาม เนื่องจาก เงินบาทได้ปรับตัวแข็งค่าขึ้นมาพอสมควรจากช่วงก่อนการประชุมเฟดที่เงินบาทอ่อนค่าแตะระดับ 33.45 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ เราเชื่อว่าอาจจะเห็นโฟลว์เข้าซื้อราคาทองคำตอนย่อตัวของผู้เล่นในตลาดทองคำบ้าง หลังราคาทองคำปรับตัวลงอีกครั้ง ซึ่งโฟลว์ดังกล่าวจะเป็นแรงกดดันในฝั่งอ่อนค่าของเงินบาท
ดังนั้น หากเงินบาทจะแข็งค่าไปมากกว่านี้ อาทิ แข็งค่าแตะระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์อีกรอบได้นั้น เราเชื่อว่า จะต้องอาศัยปัจจัยฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งเราประเมินว่า ในระยะสั้น นักลงทุนต่างชาติจะยังไม่รีบกลับมาตลาดหุ้นไทย จนกว่าจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่องจากการเปิดประเทศในเดือนนี้ก่อน
ทั้งนี้ แนวต้านสำคัญของเงินบาทยังอยู่ในโซน 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ส่งออกบางส่วนต่างรอขายเงินดอลลาร์อยู่ ส่วนผู้นำเข้าบางส่วนก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ เงินบาทยังมีแนวรับสำคัญที่โซน 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ ต้องระวังการแข็งค่าหลุดระดับ 33 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากระดับดังกล่าวเป็นจุด Stop Loss ของบรรดาผู้เล่นต่างชาติ ทำให้อาจมีการ Cover Position เก็งกำไรเงินบาทอ่อน และหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้เร็ว
ตลาดการเงิน สามารถเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อได้ แม้ว่าจะเผชิญความผันผวนในช่วงก่อนการประชุมเฟด โดยในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.65% ส่วน ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ต่างปรับตัวขึ้นกว่า +1.04% ที่น่าสนใจก็คือ ดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์โดยพร้อมเพรียงกันนับตั้งแต่ต้นปี 2018
โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แรงหนุนจากท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯหรือเฟด ที่ยังคงมีมุมมองไม่ได้กังวลต่อปัญหาเงินเฟ้อมากนัก อีกทั้งยังไม่ได้ส่งสัญญาณจะเร่งรีบขึ้นดอกเบี้ยตามที่ตลาดประเมินไว้ เนื่องจากเฟดอยากรอให้ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ดีขึ้นก่อน ทั้งนี้ ในการประชุมล่าสุด เฟดได้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.00%-0.25% ตามคาด พร้อมทั้ง ประกาศลดการทำคิวอี (QE Tapering) เดือนละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเฟดอาจปรับอัตราการลดคิวอีให้เร็วขึ้นหรือช้าลงได้ ตามความเหมาะสมขึ้นกับสถานการณ์
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX50 เดินหน้าปรับตัวขึ้น +0.31% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบริษัทโดยรวมที่ยังออกมาดีต่อเนื่อง อาทิ Adidas +2.10%, Infineon Tech +1.8%, BMW +1.7% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น TotalEnergies -1.8%, Eni -1.3% หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เราประเมินว่า ตลาดทั่วโลกมีโอกาสอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อได้ จากผลการประชุมเฟดที่มีประกาศการลดคิวอีแบบ Dovish Tapering หรือ ลดคิวอี แต่ก็ไม่ได้เร่งรีบจะขึ้นดอกเบี้ย นอกเหนือจากปัจจัยหนุนจากรายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาด
ในฝั่งตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจปรับลดมุมมองที่เชื่อว่าเฟดจะสามารถทยอยขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วกว่าคาด ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ บอนด์ยีลด์ 2 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงจากที่แตะระดับ 0.50% ก่อนการประชุมเฟด สู่ระดับ 0.46% หลังรับรู้ผลการประชุมเฟดและรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด อย่างไรก็ดี ในส่วนบอนด์ยีลด์ระยะยาวจะเห็นได้ว่า บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นราว 7bps สู่ระดับ 1.59% เพื่อสะท้อนการทยอยลดสภาพคล่องของเฟดผ่านการปรับลดคิวอี และสะท้อนภาวะตลาดที่ยังเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อ
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลงสู่ระดับ 93.85 จุด จากที่แตะระดับ 94.20 จุด ก่อนการประชุมเฟด หลังจากที่ เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งรีบใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดตามที่ตลาดคาดหวังไว้ อีกทั้ง ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มลดสถานะถือครองเงินดอลลาร์ เนื่องจากตลาดการเงินมีแนวโน้มเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อ ทั้งนี้ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ กลับไม่ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นมาได้มาก โดยล่าสุด ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นแตะระดับเพียง 1,775 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากที่ดิ่งลงไปแตะระดับ 1,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงก่อนการประชุมเฟด เนื่องจาก บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวสูงขึ้น และผู้เล่นในตลาดยังเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อ ซึ่งเราคาดว่าบรรยากาศในตลาดการเงิน ณ ปัจจุบัน อาจทำให้ราคาทองคำต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ อาทิ ความกังวลปัญหาเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น หรือ ความกังวลปัญหาเศรษฐกิจจีนชะลอตัวหนัก ถึงจะสามารถเห็นราคาทองคำปรับตัวขึ้นกลับไประดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง
สำหรับวันนี้ ในด้านข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดจะรอจับตา การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งตลาดส่วนใหญ่มองว่า BOE อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.25% จาก 0.10% หลังเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเกินเป้าหมายและเศรษฐกิจก็ทยอยฟื้นตัวดีขึ้น แต่เราเชื่อว่า BOE จะคงดอกเบี้ยนโยบายไปก่อน เพื่อประเมินผลกระทบจากการระบาดของเดลต้าและติดตามการฟื้นตัวตลาดแรงงาน ทั้งนี้ควรติดตามแรงกดดันเงินเฟ้อ ซึ่งอาจหนุนให้ BOE ขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดได้
ส่วนในฝั่งไทย ตลาดจะรอลุ้น แนวโน้มฟื้นตัวเศรษฐกิจหลังการทยอยผ่อนคลาย Lockdown ซึ่งคาดว่าจะสะท้อนผ่านความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่จะปรับตัวขึ้นแตะระดับ 42 จุด ในเดือนตุลาคม โดยความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ทยอยฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องนั้นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยสามารถผ่านจุดต่ำสุดของการระบาดระลอกใหม่ได้