SFT ผลประกอบการ 3Q64: กำไรตํ่าเกินคาด (9 พ.ย. 64)
กำไรสุทธิของ SFT ใน 3Q64 อยู่ที่ 33 ล้านบาท (+53% YoY, -11% QoQ) ต่ำกว่าประมาณการของเรา16% และต่ำกว่า Bloomberg consensus 6% จากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นต่ำเกินคาด
ส่งผลให้กำไรสุทธิงวด 9M64 อยู่ที่ 99 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 74% YoY) คิดเป็น 70% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา
ยอดขายใน 3Q64 ถูกกระทบจากมาตรการ lockdown
ยอดขายของ SFT ใน 3Q64 อยู่ที่ 205 ล้านบาท (+23% YoY, -7% QoQ) ต่ำกว่าประมาณการของเรา 12%โดยยอดขายที่ลดลง QoQ เป็นเพราะรายได้จาก Gravure printing ในธุรกิจเครื่องดื่ม และเครื่องสำอางลดลงเนื่องจากมีการใช้มาตรการ lockdown เพื่อคุมการระบาดของ COVID-19 ทั้งนี้ รายได้จากลูกค้าในธุรกิจเครื่องดื่ม และเครื่องสำอางคิดเป็นสัดส่วนถึง 60% และ 8% ของรายได้ทั้งหมดจากงานพิมพ์ฉลาก Gravure shrinkage label ส่งผลให้ยอดขายในงวด 9M64 อยู่ที่ 609 ล้านบาท (+23% YoY) และคิดเป็น 71% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา
อัตรากำไรขั้นต้นใน 3Q64 อยู่ที่ 28.5%
อัตรากำไรขั้นต้นของ SFT ใน 3Q64 อยู่ที่ 28.5% (-0.5ppts YoY, -2.2ppts QoQ) ต่ำกว่าประมาณการของเรา 2.3ppts โดยอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงทั้ง YoY และ QoQ เป็นเพราะราคาวัตถุดิบแพงขึ้น ซึ่งบริษัทเพิ่งจะเริ่มปรับราคาขายตามในช่วงปลาย 3Q64 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นในงวด 9M64 อยู่ที่ 29.8% (เพิ่มขึ้น 1.5ppts YoY) ซึ่งยังต่ำกว่าสมมติฐานปี 2564 ของเราที่ 30.6% ส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ใน 3Q64 เพิ่มขึ้นเป็น 25 ล้านบาท (+21% YoY, +4% QoQ) เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมาตรการป้องกัน COVID-19 คิดเป็นสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายที่ 12.2% (จาก 12.5% ใน 3Q63 และ11.0% ใน 2Q64)
ผลประกอบการจะดีขึ้นใน 4Q64 และยังคงประมาณการกำไรเอาไว้ปีนี้เท่าเดิม
ถึงแม้ว่ากำไรใน 3Q64 จะต่ำกว่าที่เราคาดไว้ แต่เรายังคงประมาณการกำไรปีนี้เอาไว้เท่าเดิม เพราะเราคาดว่าโมเมนตั้มของกำไรจะดีขึ้นใน 4Q64 เนื่องจาก i) ยอดขายฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการ lockdown ลง ซึ่งจะทำให้สามารถเดินเครื่องสายการผลิตที่ห้าได้เต็มกำลังการผลิต ii) อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นหลังจากที่มีการปรับราคาขาย
Valuation & action
เรายังคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 เอาไว้ที่ 9.50 บาท อิงจาก PER เท่าเดิมที่ 25.0x (ค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มนี้ในตลาดโลก +1.0 S.D.) และยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
Risks
ราคาวัตถุดิบผันผวน, เกิด disruption ในสายการผลิต, วัตถุดิบ และสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้วเสียหาย, ความเสี่ยงจากนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับฉลากพลาสติก, ความกังวลต่อสิ่งแวดล้อม, คู่แข่งรายใหม่, อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน