หุ้นเจ้าสัวยังทรุดไตรมาส3/64 ขาดทุน-กำไรหายยกกลุ่ม
เอฟเฟคจากโควิดที่รุนแรงในไทยพาเหรดออกมาให้เห็นในรูปแบบกำไรไตรมาส 3 ปี 2564 ที่ตอกย้ำได้ดีว่ามีผลกระทบมากแค่ไหนเพราะแม้แต่ธุรกิจที่เป็นทุนใหญ่ ครอบคลุมตลาดในอันดับ 1 มีศักยภาพในการทำกำไรมากที่สุด “ กลุ่มซีพี” ฉายาหุ้นเจ้าสัวใหญ่ของไทย กลายเป็นทรุดหนักแทบยกกลุ่ม
หุ้นใหญ่ที่ทำเอานักลงทุนสุดเซอร์ไพรส์ผลประกอบการคือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ที่ประกาศผลขาดทุนหนัก 5,374 ล้านบาท ลดลง 28% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และยังลดลง 172% จากไตรมาสก่อน และทำให้ในรอบ 9 เดือน กำไรอยู่ที่ 6,308 ล้านบาท ลดลงถึง 67.83% ซึ่งถือว่าเป็นการพลิกขาดทุนครั้งแรกในรอบ 14 ปี
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ CPF ประกอบธุรกิจอาหารที่จำเป็นต่อการบริโภคขาดทุนหนัก ตามการชี้แจงของบริษัทราคาเนื้อหมูที่ปรับตัวลดลงประมาณ 20 % สวนทางกับต้นทุนการผลิตที่ปรับเพิ่มขึ้น 5 % เทียบจากระยะเวลาเดียวกันปีก่อน และจากปัจจัยดังกล่าว ยังส่งผลให้มูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ชีวภาพลดลง 3,583 ล้านบาท จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน การรับรู้ส่วนแบ่งกําไรจากเงินลงทุนลดลง 3,294 ล้านบาท จากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน ตามผลการดําเนินงานของบริษัทร่วมในประเทศจีน และผลการดําเนินงานของบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) หรือ CPALL ที่ลดลง
ตามมาด้วยธุรกิจสื่อสารอันดับ 2 ของไทย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE รายงานพลิกขาดทุน 602 ล้านบาท ลดลง 678 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยได้รับผลกระทบจาก 2 ธุรกิจคือ ทรูมูฟ เอช ที่มีรายได้ลดลงจากสถานการณ์โควิดที่มีผลต่อกำลังซื้อ
นอกจากนี้ยังมีภาวะการแข่งขันตลาดเติมเงินที่ยังคงมีการแข่งขันที่สูง และแข่งขันกันดึงลูกค้าด้วยแพ็คเกจความเร็วคงที่แต่ปริมาณดาต้าไม่จำกัด (fixed-speed unlimited data) สำหรับกลุ่มราคาระดับล่าง ด้านทรูวิชั่นเจอ OTT และแพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามาชิงฐานคนดู จนกระทบรายได้
สวนทางกับธุรกิจทรูออนไลน์หรือบรอดแบนด์ อินเทอร์เน็ต กลับได้รับอานิสงส์ดีปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้นและมีฐานรายใหม่ 135,000 ราย เป็นลูกค้า 4.5 ล้านราย หนุนรายได้ในส่วนนี้เติบโต 9.5 % จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ 2.2 % จากไตรมาสก่อน และไตรมาสดังกล่าว TRUE มีการบันทึกกำไรจากการขายหน่วยลงทุนในกองทุน DIF ประมาณ 1.5 พันล้านบาท หากไม่รวมรายการนี้ผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้น 57% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน
ด้านธุรกิจค้าปลีกทั้ง บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และบริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO แม้จะไม่ทำเซอร์ไพรส์หนักให้นักลงทุนด้วยการพลิกขาดทุน เพราะยังมีกำไรแต่เติบโตลดลง โดย CPALL มีกำไร 1,493 ล้านบาท ลดลง 62.7% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ MAKRO มีกำไร 1,571 ล้านบาท แทบจะไม่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน
กลุ่มค้าปลีก ถือว่ามีปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นไม่น้อย จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าจากการเปิดประเทศ และคลายมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้กำลังซื้อกลับมา แต่ที่สำคัญคือ การจัดโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกที่ให้ MAKRO เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน “เทสโก้โลตัส” แทน CPF และ CPALL ผ่านการเพิ่มทุนในมูลค่าที่ลดลง แต่ได้กระแสเงินสดเข้าทั้ง 2 บริษัท และเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นไปในตัวจนปรับตัวขึ้นมาแล้ว 12.45% และ 24.05 % ตามลำดับ
หากประเมินจากตัวเลขผลประกอบการคือ ว่าไตรมาส 3 กำไรในกลุ่มรับแรงกระแทกจากโควิดหนักที่สุด แต่หากดูในแง่ราคาหุ้นกลับพบว่า มีเพียง CPF ที่ราคาหุ้นทิศทางขาลง เนื่องจากอิงกับต้นทุนคอมมูนิตี้ที่เป็นทิศทางขาขึ้น เช่น กากถั่วเหลือ ข้าวโพด และยังมีปัจจัยต่างประเทศการกลับมาล็อกดาวน์ในจีนปัจจัยกดดัน
สวนทางกับอีก3 บริษัท โดยเฉพาะราคาหุ้น TRUE ที่บวกขึ้นมาแล้ว จากต้นปีจนถึงปัจจุบันเกือบ 20% แม้จะพลิกกลับมาขาดทุนในไตรมาสดังกล่าว แต่กระแสข่าวการซุ่มเจรจาซื้อหุ้นโอเปอเรเตอร์ เบอร์ 3 ในตลาดยังคุกรุ่นออกมาต่อเนื่องและเป็นตัวผลักดันทำให้ราคาหุ้นบวกด้วยเช่นเดียวกัน
พิสูจน์อักษร โดย....สุรีย์ ศิลาวงษ์